ธปท. สรุปผลการดำเนินการครบ 3 เดือนของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 1

1 ก.ค.63 นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชน การออกมาตรการช่วยเหลือขั้นต่ำในระยะแรกจึงมุ่งช่วยเหลือประชาชนในวงกว้างเป็นการทั่วไป ซึ่งมาตรการช่วยเหลือส่วนหนึ่งได้ครบกำหนดเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ธปท. ได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการทางการเงินอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีลูกหนี้รายย่อยได้รับความช่วยเหลือจำนวน 11.5 ล้านบัญชี1/ จากบัญชีสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดประมาณ 35 ล้านบัญชี ส่วนใหญ่เป็นบัญชีบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คิดเป็นมูลหนี้รวม 3.8 ล้านล้านบาท ซึ่งพบว่าลูกหนี้ ส่วนใหญ่ได้รับความช่วยเหลือในลักษณะจ่ายเงินค่างวดที่ลดลง และบางส่วนได้รับการเลื่อนการชำระหนี้ หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการทางการเงินจำนวนมากยังให้ความช่วยเหลือมากกว่ามาตรการขั้นต่ำที่ ธปท. กำหนด ตามกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ

แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นมาเป็นลำดับ โดยความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วนทำให้ไม่มีการติดเชื้อในประเทศมาเป็นเวลานาน และทางการเริ่มผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ธปท. และผู้ให้บริการทางการเงินยังตระหนักว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง และยังคงมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและอาจยืดเยื้อ ทำให้ลูกหนี้บางกลุ่มยังต้องการความช่วยเหลือต่อเนื่อง


ธปท. จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือระยะที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรการที่ให้ประชาชนเลือกที่จะเข้าร่วม (opt-in) โดยผู้ให้บริการทางการเงินจะต้องจัดให้มีทางเลือกของความช่วยเหลือให้กับลูกหนี้แต่ละกลุ่มเพื่อสามารถเลือกให้เหมาะกับกระแสรายได้ที่เปลี่ยนไปมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขยายระยะเวลาชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้ต่อเดือนลดลง หรือหากเป็นการเลื่อนชำระหนี้ ก็จะมีการติดต่อลูกหนี้ในระหว่างที่เลื่อนชำระหนี้เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถของลูกหนี้ต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง ธปท. ยังได้ปรับลดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิต จากร้อยละ 18 เหลือร้อยละ 16 สินเชื่อส่วนบุคคล จากร้อยละ 28 เหลือร้อยละ 25 และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จากร้อยละ 28 เหลือร้อยละ 24 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป

ธปท. มีกลไกติดตามเพื่อให้ผู้ให้บริการทางการเงินมีกระบวนการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เพื่อเสนอทางเลือกในการช่วยเหลือได้ตามความเหมาะสมกับลูกหนี้ และให้เกิดความมั่นใจว่าเมื่อสิ้นสุดมาตรการการให้ความช่วยเหลือแล้ว จะไม่ทำให้ภาระหนี้ของลูกหนี้เร่งขึ้นจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ และไม่ส่งผลให้ระดับหนี้เสียของผู้ให้บริการทางการเงินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ปัจจุบันระบบสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็ง โดยมีระดับเงินกองทุนและสภาพคล่องสูง สามารถรองรับการช่วยเหลือลูกหนี้ในระยะข้างหน้าได้ ธปท. และผู้ให้บริการทางการเงินยังคงทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ก้าวข้ามผ่านช่วงที่ยากลำบากนี้ไปได้

**จากการสอบทานข้อมูลที่ได้รับจากสถาบันการเงินพบว่า สถาบันการเงินบางแห่งมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เป็นการทั่วไปและนับรวมลูกหนี้ทั้งหมดเข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งลูกหนี้จำนวนหนึ่งยังมีความสามารถชำระหนี้และไม่ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือ โดยเฉพาะบัตรเครดิต จึงได้ปรับจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของมาตรการ จาก 15.2 ล้านบัญชีเป็น 11.5 ล้านบัญชี**

Written By
More from pp
“ธรรมนัส” ลงพื้นที่รับฟังปัญหาเกษตรในพื้นที่ อ.ธารโต ยะลา พร้อมเน้นย้ำจะยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้น
16 กันยายน 2566 ณ ที่ว่าการอำเภอธารโต จ.ยะลา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
Read More
0 replies on “ธปท. สรุปผลการดำเนินการครบ 3 เดือนของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 1”