From Waste To Energy โรงไฟฟ้าจากขยะ…รองรับยุคเศรษฐกิจหมุนเวียน  

ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนเกิดขึ้นประมาณ 75,000 ตัน/วัน  ขณะที่เราก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งเน้นความสำคัญการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด  เมื่อเร็วๆนี้ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ได้จัดงานเสวนาเรื่อง “From Waste To Energy…โรงไฟฟ้าจากขยะ ในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 62 ณ อิมแพ็คโฟรั่ม  เพื่ออัพเดทองค์ความรู้และแนวทางธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาสนับนุน ทำให้มีการนำขยะหมุนเวียนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานไฟฟ้า

รศ.เกียรติไกร อายุวัฒน์ หัวหน้าศูนย์วิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยควรต้องมีวิธีการจัดการปัญหาขยะหลายทางเลือกและให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยต้องได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยด้วย การจัดการขยะด้วยวิธีการฝังกลบ (Landfill) เป็นอีกหนึ่งหนทางในการจัดการขยะแบบหมุนเวียน ตามแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายขยะให้กลายสภาพเป็นก๊าซมีเทน สามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เมื่อก๊าซหมดก็สามารถขุดขยะขึ้นมาคัดแยกก็จะได้เศษไปเป็นเชื้อเพลิงได้อีก และยังเป็นการหมุนเวียนใช้ที่ดินเดิมสร้างบ่อฝังกลบใหม่ได้อีกครั้ง ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและประเทศไทย

โดยได้เริ่มศึกษาวิจัยต่อยอดโครงการบ่อขยะฝังกลบที่ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ที่รองรับขยะจากกรุงเทพฯ ประมาณวันละ 3,000 ตัน พบว่าปัญหาขยะส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นขยะมูลฝอยที่มีความชื้นสูง ส่งผลให้ก๊าซมีเทน ที่ได้ไม่มีความเสถียร จึงคิดค้นและพัฒนาระบบการวางท่อแบบใหม่ ใช้เวลา 6 ปี ในการศึกษาบนพื้นที่บ่อฝังกลบขยะ 70 ไร่ จนประสบความสำเร็จสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 200 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ซึ่งเป็นการวางท่อรวบรวมก๊าซจากหลุมฝังกลบขยะเก่า ก๊าซที่ได้ต้องมีปริมาณมีเทนมากกว่า 45% โดยต้องนำก๊าซมีเทนที่ได้เข้าสู่ระบบทำความสะอาดเพื่อกำจัดก๊าซออกซิเจนและลดความชื้น ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าต่อไป

นายคณพศ นิจสิริภัช ประธานกรรมการ บริษัท ไบร์ท บลู วอเตอร์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (Bright Blue Water Corporation Limited) และ ประธานบริหารบริษัท Advance Power Conversion กล่าวว่า เทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามามีส่วนช่วยผลักดันการบริหารจัดการปัญหาขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และหมุนเวียนนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประโยชน์รอบด้าน สมุทรปราการเป็นจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 8,000 โรงงาน สร้างขยะมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งเกิดจากผู้อยู่อาศัยและผู้ที่เดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่ เฉลี่ยปริมาณขยะวันละกว่า 4,000 ตัน โรงไฟฟ้าแพรกษามีพื้นที่ทั้งหมด 320 ไร่ สามารถรองรับขยะได้วันละ 500 ตัน ส่วนที่เหลือ 3,500 ตัน ใช้วิธีการฝังกลบ ซึ่งหากได้สัญญาซื้อขายพลังงาน (PPA) คาดว่าจะสามารถจัดการกับขยะทั้งหมดและผลิตไฟฟ้าได้ถึง 100 เมกะวัตต์

วิธีการแก้ปัญหาขยะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.วัสดุที่เผาไหม้ได้ (Combustible material) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของน้ำหนักขยะ ส่วนใหญ่มีราคาถูก น้ำหนักเบา ไม่ย่อยสลาย และไม่คุ้มค่าในการรีไซเคิล แต่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ได้ โดยวิธีการเผาในโรงไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน สามารถควบคุมการเผาไหม้ อุณหภูมิ ควัน ไอเสีย และมลพิษอื่น ๆ ก่อนปล่อยสู่อากาศ การเผาจะทำให้เกิดความร้อนที่สามารถนำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ดังนั้นการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโรงไฟฟ้าขยะในรูปแบบของ Feed-in Tariff (FIT) หรือ Adder เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการจัดการปัญหาขยะและปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยออกเป็นสัญญาซื้อขายพลังงาน (PPA) กระตุ้นให้เอกชนเข้ามาลงทุน  2. ขยะอินทรีย์สาร คิดเป็นร้อยละ 30 เป็นขยะที่สามารถย่อยสลายได้ แต่ขยะจำพวกนี้ไม่มีค่าความร้อนและไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ส่วนใหญ่นำไปทำเป็นปุ๋ยชีวภาพ ไบโอแก๊สได้ หรือฝังกลบ 3. ขยะรีไซเคิล คิดเป็นร้อยละ 10 ซึ่งต้องเป็นขยะที่ต้องผ่านการคัดแยกก่อน ที่เหลืออีก 90% ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถกำจัดได้

ทั้งนี้ มาตรฐานของโรงไฟฟ้าขยะจะต้องไม่น้อยกว่าโรงผลิตแก๊สธรรมชาติ เนื่องจากโรงไฟฟ้าขยะนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมือง ซึ่งการนำขยะมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าจะเป็นทางออกการจัดการกับปัญหาขยะในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

นายทองคำ ปิยธีรวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อนุกรรมการกลั่นกรองการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน กล่าวว่า สำนักงาน กกพ. มีหน้าที่ออกใบอนุญาตโรงไฟฟ้าและดูแลความมั่นคงด้านไฟฟ้าให้ผู้ใช้ทุกราย รวมถึงสนับสนุนนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจพลังงานของภาครัฐอย่างมั่นคง ตลอดจนเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับหน่วยงานท้องถิ่น โดยโรงไฟฟ้าขยะจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่ให้ปฏิบัติตามประมวลหลักการปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (Code of Practice : CoP) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการปลดล็อคให้โรงไฟฟ้าขยะชุมชน และ โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมได้มีมาตรฐานมากขึ้น

ในส่วนของขยะชุมชน กฎหมายได้ระบุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีหน้าที่ในการจัดเก็บขยะและการออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่เข้ามาร่วมทุน ทั้งการจัดเก็บขยะ การขนย้ายขยะ การทำโรงไฟฟ้า หรือการแปรรูปขยะสดให้เป็นเชื้อเพลิงแห้ง RDF เพื่อส่งต่อให้คลัสเตอร์อื่น ๆ เป็นต้น รวมถึงดูแลในส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บขยะในพื้นที่ตนเอง โดย กกพ.จะให้ความช่วยเหลือสนับสนุนตามขั้นตอนและความเหมาะสม โดยเฉพาะการกำหนดอัตราคงที่การรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนลงทุนได้ ดังนั้นกฎหมาย CoP จึงเป็น ขั้นตอนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ซึ่งแบ่งการจัดการออกเป็น 4 ระยะ คือ 1.ระยะเตรียมการก่อสร้าง 2.ระยะก่อสร้าง 3.ระยะดำเนินการ และ 4.ขั้นตอนการรื้อถอนอาคาร ซึ่งแตกต่างจาก EIA ในเรื่องของการคัดแยกขยะเชื้อเพลิงก่อนทำการเผาในโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ กกพ. จะควบคุมกำกับดูแลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าให้เป็นไปตามมาตรฐานตามประมวลหลักการปฏิบัติ CoP ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและชุมชนน้อยที่สุด

ทั้งนี้ ทางกระทรวงพลังงานมีแนวทางส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าขยะ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ และตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561 – 2580 (PDP 2018) ที่ขยายกำลังผลิตไฟฟ้าจากขยะอีก 400 เมกะวัตต์ จากแผนเดิม 500 เมกะวัตต์ ส่วนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าจากขยะเพิ่ม 5 – 6 แห่ง ใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง

Written By
More from pp
“ทรูวิชั่นส์ เปิดฤดูกาล “ไทยลีก” ซีซั่นใหม่ 2020 ยิงสดที่เดียว ครบ 240 แมตช์ตลอดทั้งฤดูกาล เปิดสนาม 14 ก.พ.นี้
“ทรูวิชั่นส์” ต้อนรับการกลับมาอีกครั้งของศึกฟาดแข้ง “โตโยต้า ไทยลีก 2020” ที่พร้อมระเบิดความมัน  การันตียิงสดครบ 240 แมตช์ตลอดฤดูกาลที่ทรูวิชั่นส์ และบิ๊กแมตช์แต่ละสัปดาห์จะออกอากาศที่ช่อง True4U และแอปทรูไอดี
Read More
0 replies on “From Waste To Energy โรงไฟฟ้าจากขยะ…รองรับยุคเศรษฐกิจหมุนเวียน  ”