สังคมรู้ทัน “ความตาย” ก็มาถึง

มกราคม ๒๕๖๓
ปีใหม่……
สดๆใหม่ๆ เพิ่งออกจากเตาไฟ หอมมมมกรุ่น ชื่นใจ!
ชวด ที่ไม่ชังชาติ…..
หนูเล็ก หนูใหญ่ หนูพุก หนูหริ่ง หนูตะปิ้ง หนูเดือย ไปสดใส กรุ๊งกริ๊ง อยู่ที่ไหนกันบ้างล่ะเอ่ย?
คิดดี ทำดี แฮปปี้ นิว เยียร์ ทุกๆหนูเน้อ!
ปีใหม่ สิทธิโชคโฉลกดี มีเรื่องดี ประเดิมศก มาให้อ่านกัน
เปิดเฟซ พบ thaimove นำของขวัญปีใหม่ จาก
“รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา” คณะสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล และนักวิชาการสถาบันทิศทางไทย มามอบให้คนไทยทุกคน
ของขวัญชิ้นนี้ มีชื่อว่า………
“อนาคตใหม่ กล้าบอกชาติพันธุ์หรือไม่ว่า ม.๗๐ ในรัฐธรรมนูญ ๖๐ ว่าไว้อย่างไร?”
เชิญทุกท่าน บริโภคทางปัญญาได้เลยครับ
……………………
“รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา”
จากกรณีที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และพลพรรค เข้าร่วมงานวันปีใหม่ ของกลุ่มชาติพันธุ์ ในช่วงปลายปี 2562 ในพื้นที่ต่างๆ
โดยคุณธนาธร เข้าร่วมงานปีใหม่ม้ง จังหวัดตาก โดยมี นายณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ จากกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
นำเดินชมงานและร่วมกิจกรรม โดยแสดงถึงการมีตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์มีร่วมเป็น ส.ส.ในพรรคจำนวน ๒ คน

คือ นายณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ จากกลุ่มม้ง และนายมานพ คีรีภูวดล จากกลุ่มกะเหรี่ยง รวมถึงคนในพรรคอนาคตใหม่

ยังมี คุณกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรค ไปร่วมงานปีใหม่กะเหรี่ยง ที่ จ.เชียงใหม่

และคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ไปร่วมงานปีใหม่ม้งที่ เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ (เนชั่นสุดสัปดาห์, ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒)

ในการไปร่วมงานกับกลุ่มชาติพันธุ์นั้น พวกคุณได้เคยบอกกล่าวกับกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นบ้างหรือไม่ว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก ลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ ที่พวกคุณบางคนกล่าวหาว่า

“เฮงซวยทุกมาตรา” มี มาตรา ๗๐ เขียนไว้ว่าอย่างไร…
มาตรา ๗๐ เขียนไว้ในหน้า ๑๘ ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า

“รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน
ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย”

ซึ่งเป็นมาตราที่กำหนดไว้ใน หมวด ๖ ว่าด้วย แนวนโยบายแห่งรัฐ
ชาติพันธุ์ ได้รับการยอมรับในประเทศของเรามาโดยตลอด มีการแก้ปัญหาในมิติต่างๆ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับชาติพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ และพระราชวงศ์ในรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงทำเพื่อพสกนิกรผู้ห่างไกลอย่าง กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศ มาตลอดรัชสมัยของพระองค์ท่าน

พี่น้องชาติพันธุ์ทั้งหลาย ต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณามาโดยตลอด และข้าพระบาทในพระองค์ทุกหมู่เหล่าก็ร่วมกันสานต่อในงานตามแนวทางของพระองค์ท่าน ในการส่งเสริมและร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในทุกพื้นที่ของประเทศ
ดังปรากฏชัดในหนังสือ บทความ และเรื่องราวในประวัติศาสตร์ มากมาย ดังตัวอย่างเรื่อง

“ในหลวงกับชนกลุ่มน้อยในสยามประเทศ”

ที่เรียบเรียงโดย ศรีศักร วัลลิโภดม มีความตอนหนึ่งว่า

…ความต่างกันของการพัฒนาประเทศตามแนวทางของรัฐบาล กับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็คือ
ของทางรัฐบาลนั้น มีลักษณะ สั่งการจากข้างบนและจากศูนย์กลาง หาเข้าถึงประชาชนไม่

แต่แนวทางของในหลวงนั้น คือการเข้าถึงประชาชนในลักษณะที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม คือมุ่งที่คนไม่ใช่เศรษฐกิจ

ดังจะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
มักเสด็จออกไปเยี่ยมทุกข์และบำรุงสุขของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ทุกภูมิภาค

ทรงเห็นประเทศไทย ทั้งในลักษณะกายภาพ เช่น ภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ และในทางสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่น

ทำให้แนวทางพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นไปตามแบบที่ทรงรับสั่งว่า

“เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”

ซึ่งก็ตรงกับตำราการพัฒนาสังคมทางมานุษยวิทยาที่ข้าพเจ้าเคยเรียนมาว่า “To Know is to understand, To understand is to control”

…ทรงศึกษาให้เข้าใจคนที่ด้อยโอกาสเหล่านั้นในเรื่องการตั้งหลักแหล่งที่อยู่อาศัย และการทำมาหากินให้เป็นชุมชนทางเกษตรกรรมที่มีเศรษฐกิจแบบพอเพียงเป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ร่วมกันทางสังคม

เป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งให้คนในชุมชนช่วยตนเองแบบพึ่งพิงพึ่งพากัน โดยไม่ต้องเรียกร้องอะไรต่ออะไร จากการช่วยเหลือแบบประชานิยมของทางรัฐบาล…

…ดังเห็นได้จากการที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงพื้นที่และพบประชาชนด้วยพระองค์เอง

ทรงศึกษาและตรวจสภาพภูมิประเทศ กำหนดแหล่งน้ำทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ให้เป็นแหล่งที่พึ่งของชุมชน

อย่างเช่น ในโครงการพระราชดำริ ที่ขอแรงสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งบรรดาแหล่งเก็บน้ำต่างๆ ที่ทรงแนะนำและสนับสนุนนั้น ล้วนเป็นโครงการขนาดเล็กเพื่อการเกษตรของชุมชนท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่

จากนั้น ก็ทรงแนะนำให้ความรู้ทั้งทางวิชาการและทางเทคนิคแก่ชาวบ้าน เพื่อให้ทำมาหาเลี้ยงได้ด้วยตนเอง…
…ฯลฯ…

(ศรีศักร วัลลิโภดม, ๑๙ ต.ค. ๒๕๕๙ อ้างในมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ lek-prapai.org)

…เรื่องแบบนี้ มีอยู่มากมายจนไม่สามารถที่จะนำมากล่าวไว้ได้หมด…ใครๆ ก็รู้

…หรือพวกคุณแกล้งไม่รู้…?
การนำเรื่องชาติพันธุ์มากล่าวนั้น หลายฝ่ายจึงมองว่า พรรคการเมือง กำลังสร้างภาพกับกลุ่มชาติพันธุ์
เหมือนเป็นการสร้าง อีเว้นท์
ในการดำเนินการเพื่อสร้างการยึดโยงของสังคมข่าวสารในกลุ่มสังคมออนไลน์

ซึ่งการจะอยู่ในใจของชาวสังคมออนไลน์ให้ได้อย่างต่อเนื่อง คงต้องดำเนินการ “สร้างอีเว้นท์อย่างต่อเนื่อง”

ซึ่งประเด็นหลัก น่าจะอยู่ที่การสร้างเพื่อให้เห็นว่าถูกกลั่นแกล้ง เอารัดเอาเปรียบ จากผู้มีอำนาจเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมของกลุ่มสังคมออนไลน์
แต่ถ้าเป็นแบบนั้นมากไป ก็อาจทำให้ถูกมองว่าไม่มี “อีเว้นท์ทำงาน” ที่เป็นการมุ่งงานเสียบ้าง เหมือนดังที่หลายฝ่ายกำลังตั้งคำถามอยู่ในปัจจุบัน

การเข้าหาและนำพาวาทกรรมเพื่อนำสู่สังคมออนไลน์ไปตามกลุ่มต่างๆ จึงเริ่มต้นขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น “LGBT” ซึ่งผลออกมาในการสร้างอีเว้นท์ในสภาก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ถูกตำหนิอยู่มากพอสมควร
การไปดำเนินการกับ “ชาติพันธุ์” และอาจตามมาด้วยกลุ่มอื่นๆ อีกหรือไม่

ทั้ง “กลุ่มผู้พิการ” หรือ “กลุ่มผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ” อาจต้องติดตามดูกันต่อไป

ส่วนอีเว้นท์การต่อสู้ตามยุทธศาสตร์หลักในการสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศตามวาทกรรมหลักของพวกคุณ ก็จะถูกปล่อยมาจากต่างกลุ่ม ต่างวาระ มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
เพื่อสร้างแนวร่วมในการประสานกันระหว่างกลุ่มต่างๆ และระหว่างสังคมออนไลน์กับสังคมจริง

คงไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ ในแวดวงของนักสารสนเทศและนักยุทธศาสตร์อย่างกลุ่มพวกผม

การจะให้ครองใจคนในสังคมออนไลน์ ก็ต้องสร้างอีเว้นท์เหล่านี้ไม่ให้หลุดไป เพื่อสร้างการติดตามให้มีอย่างต่อเนื่อง

ผลโพลล์ของคะแนนนิยมที่ได้รับการโหวต จึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยสำหรับกระแสเมื่อมีการทำในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ จากบางสำนัก

นี่คือเรื่องการใช้ยุทธวิธีหนึ่งของการเดินไปด้วยการสร้างกระแสในสังคมออนไลน์ เพื่อกระจายไปสู่สังคมจริง
ผลักดันยุทธศาสตร์หลักร่วมกันกับยุทธวิธีอื่น ทั้งในสภา ด้วยรูปแบบการตั้งกระทู้

การมีส่วนร่วมในกรรมาธิการชุดต่างๆ การมีบทบาทและความชอบธรรมมากขึ้นในเวทีโลก เมื่อร่วมกับ ยุทธวิธีสำคัญ “สร้างอีเว้นท์ในโลกออนไลน์”

จึงเป็นการเชื่อมโยงกันอย่างลงตัว ที่นักวิชาการและสังคมเริ่มมองเห็นยุทธวิธีของการเดินไปแบบนี้และเข้าใจมากขึ้น

ที่จริง การสร้างอีเว้นท์ มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่

“อีเว้นท์อยากเลือกตั้ง”
“อีเว้นท์หาเสียงที่โดดเด่น”
“อีเว้นท์เวทีใหญ่มีพลพรรครายรอบ”
“อีเว้นท์บลายด์ทัช”
“อีเว้นท์เข้าพบน้องในโรงเรียน”
“อีเว้นท์กับสำนักข่าวต่างชาติ”
“อีเว้นท์พาต่างชาติร่วมใน กระบวนการสืบสวน”
“อีเว้นท์พาท่องต่างชาติ”
“อีเว้นท์ว่าที่นายก”
“อีเว้นท์เลิกเกณฑ์ทหาร”
“อีเว้นท์ขับออกจากพรรค
“อีเว้นท์แฟลชม๊อบ” …

จนถึง “อีเว้นท์วิ่งไล่ลุง” และอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน

นี่คือ…ยุทธวิธีสำคัญที่ดันสู่โลกออนไลน์แล้วได้ผลจริง…

หลายคนก็ได้แต่สงสัยว่า นอกจากจ้างล๊อบบี้ยิสต์ต่างชาติแล้ว จะมีการจ้างอื่นๆในโลกออนไลน์ไว้มากน้อยสักเพียงไหน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

ใช้เงินทองในการจ้างกับเรื่องเหล่านี้ไปมากมายมหาศาลขนาดไหน จะถือว่าเป็นการเอาเปรียบพรรคอื่นๆ หรือไม่

จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่……….
ก็คงต้องยอมรับในยุทธวิธีนี้ของพรรคที่สามารถดำเนินการอย่างได้ผล ได้คะแนนเกินกว่าที่คนทั่วไปในแวดวงการเมืองแบบเดิมจะคาดถึง
สร้างแนวร่วมจากคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่และรุ่นเก่าบางกลุ่มได้อย่างถล่มทลาย

…แต่มี “อนาคตใหม่” ที่ทำแบบนี้แล้วได้ผล ในอนาคต ก็จะมี “อนาคตใหม่กว่า” ที่เข้ามาเป็นคู่แข่ง

โดยส่วนตัว จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย วันไหนอีเว้นท์ไม่น่าสนใจ ก็จะถึงขาลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อมีอีเว้นท์จากพรรคใหม่ที่น่าสนใจ และ/หรือ มีการลงทุนในการดำเนินการแบบนี้ เพื่อให้ได้แนวร่วมจากคนในโลกออนไลน์ได้มากกว่า

แต่ก็อดจะกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการกับการสร้างอีเว้นท์กับกลุ่มบางกลุ่ม เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ แล้วไปให้ข้อมูลบางประการ เพื่อสร้างอีเว้นท์ตามแบบที่ดำเนินการอยู่

แต่ก็เป็นแบบเดิมๆ ที่ให้ข้อมูลแบบเดิมๆ การที่พรรคให้ข้อมูลกับกลุ่มชาติพันธุ์ ทำไมจึงไม่กล้าในการที่จะบอกว่า

นอกเหนือจากที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เคยทุ่มเท พระวรกายดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศแล้ว

ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่พรรคอยากทำใหม่ขึ้นมาแทนเสียเหลือเกิน ก็เขียนเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา ๗๐

รวมถึงมาตรา ๗๑ – ๗๘ ที่เกี่ยวเนื่องบางประการด้วย โดยเฉพาะมาตรา ๗๑ ใน (๑) และ (๓) ที่กล่าวถึงการวางแผนการใช้และการกระจายการถือครองที่ดินให้มีที่ทำกิน อย่างที่หัวหน้าพรรคพยายามไปบอก เพื่อจะขับเคลื่อนเสมือนเป็นความคิดขึ้นมาใหม่ที่น่าสนใจ และเป็นไปเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์โดยพรรค

ทั้งๆ ที่ มีการกำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญที่ถูกกล่าวหาว่า “เฮงซวยทุกมาตรา”
———————-
ครับ………
กรรม ไม่มีปีเก่า-ปีใหม่ ไม่ว่าใคร เมื่อเหิมเกริมก้าวล่วงถึงเขตแดน “พระมหากรุณาธิคุณ”

ไม่มีใครทำอะไร
แต่ที่ทำ ๕..๔..๓..๒..๑ เตรียมนับได้เลย!

Written By
More from plew
คนมามืดกับคนไปสว่าง – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ..⬇️ เปลว สีเงิน ๗ วันแล้ว ที่ทักษิณยัง “ป่วย” ไม่หาย แต่ “ตัวทักษิณ” หาย!? อย่างนี้...
Read More
0 replies on “สังคมรู้ทัน “ความตาย” ก็มาถึง”