เป็นระยะเวลากว่า 5 เดือน ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดร้ายแรง อย่างโรคโควิด-19 ที่สร้างความเสียหาย และผลกระทบมากมายให้กับคนในประเทศ ทั้งในแง่ของวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องปากท้อง การขาดรายได้เนื่องจากไม่สามารถทำงานได้ปกติ และต้องเผชิญปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เห็นถึงน้ำใจของคนไทยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาคเอกชนมากมาย ที่เดินหน้าเข้ามาช่วยเหลือ พร้อมต่อสู้ไปด้วยกัน ส่งพลังให้กับผู้ยากไร้ ที่ได้รับผลกระทบ และอีกหนึ่งองค์กรที่มักถูกพูดถึงทั้งในแง่ของภาคธุรกิจและการช่วยเหลือสังคม คือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของไทย ซึ่งมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ยังผลิตและจำหน่ายไอน้ำ และน้ำเย็นให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม รวมถึงขยายธุรกิจสู่การทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการจัดหาค้าส่งก๊าซธรรมชาติอีกด้วย โดยกัลฟ์ได้ทุ่มเงินมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากพิษโควิด-19 ในหลายด้าน อาทิ
โครงการ “กัลฟ์ส่งพลังสู่ชุมชน มอบข้าวกล่องสู้ภัยโควิด-19” กัลฟ์ ทำการแจกข้าวกล่องกว่า 200,000 กล่อง ให้กับชุมชนแออัดกว่า 50 เขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังและกำลังใจให้กับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ตลอดจนผู้ที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถประกอบอาชีพได้ในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นจำนวนเงิน 8,600,000 บาท
นอกจากนี้ยังถวายภัตตาหาร ยารักษาโรค และปัจจัย ส่งต่อให้พระภิกษุสามเณร จำนวน 500 รูป เนื่องจากไม่สามารถออกบิณฑบาตรได้ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค
โครงการ “รวมพลังฝ่าวิกฤตโควิด-19” โดย กัลฟ์ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มอบถุงยังชีพจำนวน 2,400 ถุง ให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 9 ตำบลของอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน และเป็นอีกหนึ่งพลังผลักดันให้ประชาชนมีกำลังใจในการต่อสู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เป็นจำนวนเงิน 360,000 บาท
สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถตรวจวินิจฉัยอาการของโรคได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การกำหนดแนวทางรักษาได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น กัลฟ์จึงได้สนับสนุนงบประมาณรวม 34,120,000 บาทให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ
มอบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ชนิด KN95 จำนวน 100,000 ชิ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน 50,000 ชิ้น และอีกจำนวน 50,000 ชิ้นมอบให้แก่โรงพยาบาลในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลหาดใหญ่ โรงพยาบาลจะนะ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โรงพยาบาลยะลา เป็นต้น ตลอดจนโรงพยาบาลอื่นๆ ที่ขาดแคลน
จัดซื้อหน้ากากอนามัยแบบผ้าให้แก่ชุดปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยระดับตำบลในพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา สงขลา และยะลา รวมจำนวน 13,000 ชิ้น เป็นจำนวนเงิน 550,000 บาท
สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่หน่วยงานส่วนท้องถิ่นในต่างจังหวัด ได้แก่ สระบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ชลบุรี นครราชสีมา และสงขลา เพื่อใช้ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้มอบเจลแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือให้แก่โรงพยาบาลขนาดเล็กในจังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา รวมเป็นจำนวนเงิน 550,000 บาท
ขยายความช่วยเหลือไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 มอบเงินจำนวน 2 พันล้านด่อง (ประมาณ 3 ล้านบาท) เพื่อนำไปบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในจังหวัดนินห์ถ่วน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และมอบเงินจำนวน 1 พันล้านด่อง (ประมาณ 1.5 ล้านบาท) แก่จังหวัดเบ๊นแจ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
โครงการ “ช่วยช้างไทยสู้ภัยโควิด-19” สืบเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคบริการและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจปางช้าง ซึ่งเมื่อไม่มีนักท่องเที่ยว ปางช้างก็ต้องปิดตัวลง ทำให้ไม่ใช่เพียงผู้ประกอบการ ผู้ดูแลช้างเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ช้างไทยก็ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
เมื่อช้างต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนทั้งอาหารและยารักษาโรค จึงกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่และอาการเจ็บป่วยของช้าง กัลฟ์จึงได้จัดทำโครงการ “ช่วยช้างไทยสู้ภัยโควิด-19” เพื่อบริจาคงบประมาณในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลช้าง จังหวัดกระบี่ และโรงพยาบาลช้าง จังหวัดลำปาง รวมทั้งการบริจาคงบประมาณให้แก่สมาคมสมาพันธ์ช้างไทย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือในการดูแลอาหารและสุขภาพช้างไปควบคู่กัน รวมเป็นจำนวนเงิน 225,000 บาท
