“อัยการ-ตำรวจ” เริงเมือง

นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” ผู้เป็น “อัยการสูงสุด”
โปรดรับทราบ……..

การที่มีคำสั่งเด็ดขาด “ไม่ฟ้องคดี” นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส กระทิงแดง” ในทุกข้อหาตามหนังสือสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ที่ อส.0017.1/445 ลงวันที่ 12 มิ.ย. 2563

และ “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ก็โปรดรับทราบ……

การไม่แย้งคำสั่งพนักงานอัยการ คดีจึงเป็นอันสิ้นสุดตามกระบวนการทางกฎหมาย
และพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลเพิกถอนหมายจับนายวรยุทธในคดีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั้น

การปฏิบัติหน้าที่ของท่านทั้งสอง ………
สร้างความเคลือบแคลงใจประชาชนด้าน “สุจริต-เที่ยงธรรม” ต่อกระบวนการกฎหมายและยุติธรรมอย่างมาก

การที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และผบ.ตร.ไม่แย้งคำสั่งครั้งนี้ ไม่เพียงนำมาซึ่งความหยามหมิ่น และสิ้นสูญความเชื่อถือต่อองค์กรตำรวจและอัยการเท่านั้น

ยังบั่นทอน “สถาบันอำนาจ” ในระบอบประชาธิปไตย ส่งผลกระทบถึง “สถาบันบริหาร” คือรัฐบาล “สถาบันตุลาการ” คือศาลอีกด้วย

ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว…….
การนำมาซึ่ง “คำสั่งเด็ดขาด” ไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธในทุกข้อหานี้ เพียงแค่คดีขับรถชนคนตายธรรมดา
เผอิญผู้ต้องหาร่ำรวย “ตำรวจ-อัยการ” ใช้เวลาร่วม ๘ ปี จากปี ๒๕๕๕ ในการสอบสวนและพิจารณาความ
ชงกันไป-ชงกันมา………
จนสำนวนสอบสวนแตกหน่อ ในที่สุด ก็ออกมาเป็น “คำสั่งเด็ดขาด” ไม่ฟ้องคดี ตั้งแต่ ๑๒ มิย.๖๓

แต่ต่างฝ่าย-ฝ่ายต่าง “ปิดเงียบ”
จนกระทั่ง สำนักข่าวต่างประเทศ CNN ออกข่าว คนในประเทศถึงได้รู้ คดีนายบอส ถูกอัยการ-ตำรวจ “ย่องเบา” เรียบร้อยไปแล้ว!

สรุป คือ……
คดีนี้ ถูกทำให้จบแค่ชั้น “ตำรวจกับอัยการ”
คดีไม่ถูกนำขึ้นสู่ศาล
ดังนั้น คนที่เข้าใจผิดต่อศาล โปรดทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และผู้ที่ฉวยโอกาสบิดเบือน หวังบ่อนทำลาย “สถาบันศาล”
จงหยุด และอย่าทำต่อ!

คดีนี้ ประชาชน “ยอมรับไม่ได้” ก่อนเป็นชนวนไปสู่เหตุการณ์อันยากคาดเดา
นายวงศ์สกุล ในฐานะ “อัยการสูงสุด” จะเซ็นคำสั่งเอง หรืองรองฯ คนใดสั่งแทนก็ตาม
ท่านต้องรับผิดชอบโดยตรง
จะอ้าง “ยังไม่ทราบ สำนวนคดียังไม่ได้เสนอมาถึงผม ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน” เหมือนเคยอ้างกรณีไม่อุทธรณ์คดีโอ๊ค-พานทองแท้ นั้น
ฟังไม่ขึ้น ระดับอัยการแผ่นดิน ผู้ควรมีหิริ-โอตตัปปะ ไม่พึงอ้าง!

ท่านต้องออกมา “อธิบาย-ชี้แจง” เหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องคดีนายบอส ต่อสังคมไทย รวมทั้งสังคมโลก ซึ่งต่างคลางแคลงและรอคำอธิบาย

ถึงแม้ตอนนี้ มีการแต่งตั้งคณะทำงาน “ตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี” นั่นก็เพียงส่วนหนึ่งในขั้นตอนพิธีกรรม
ในความสิ้นหวังต่อองค์กรอัยการ คนทั่วไปให้ราคาว่าแค่ “ซื้อเวลา” เท่านั้น
เพื่อรักษาเกียรติองค์กรและมิให้ความสิ้นศรัทธาในหมู่ประชาชน พัฒนาเป็นความเกลียด ถึงขั้นปฏิเสธอำนาจอัยการ
นายวงศ์สกุล ต้องออกมาสบตาประชาชน บอกประชาชน ว่าสำนวนที่ตำรวจทำมาเป็นอย่างไร จึงนำไปสู่การวินิจฉัยมูลคดีเช่นนั้น

ซึ่งข้ามเขตแดนอำนาจไปประหนึ่งพิจารณาพิพากษาคดี “แทนศาล” เช่นนั้น!?

ขณะนี้ ประชาชนมองว่า…….
การสั่งไม่ฟ้องคดีนายบอส “เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการผู้สุจริตโดยทั่วไป”

ฉะนั้น ท่านต้องออกมาเคลียร์!
เพราะนับแต่ท่านเข้ามาเป็น “อัยการสูงสุด” ตั้งแต่ ตุลา ๖๒ นี่ไม่ใช่คดีแรกที่ประชาชนเคลือบแคลงต่อการสั่งคดีของอัยการ
คดี “นายอนันต์ อัศวโภคิน” ในคดีฐานร่วมกันสมคบฟอกเงินและฟอกเงิน เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินพัวพันถึงธรรมกาย
อัยการ “สั่งไม่ฟ้อง”

พฤศจิกา ๖๒ ดีเอสไอ “เจ้าของคดี” แถลง ว่า….
“มีความเห็นแตกต่างจากพนักงานอัยการ โดยเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดตามที่ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องไปแล้ว
จึงได้มีความเห็นแย้งความเห็นของพนักงานอัยการให้ฟ้องนายอนันต์ฯ ตามข้อกล่าวหาส่งพนักงานอัยการแล้ว”

นี่…หนึ่งเรื่องละ ไม่ทราบว่าขณะนี้ ท่านวงศ์สกุลได้สั่งคดีไปหรือยัง หรือสั่งแล้วก็ไม่ทราบ?
พฤษภา.๖๓ “อัยการสูงสุด” มีคำสั่งชี้ขาด “ไม่ยื่นอุทธรณ์” คดี “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” พิพากษายกฟ้อง “นายพานทองแท้ ชินวัตร” ฐานร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย เมื่อ ๒๕ พย.๖๒

ดีเอสไอ “เจ้าของคดี” แย้ง “ควรอุทธรณ์”
โดยส่งความเห็นแย้งให้อัยการสูงสุดชี้ขาด เมื่อ ๒๔ เมย.๖๓ ก่อนหมดระยะเวลาอุทธรณ์ คือ ๒๕ มิย.๖๓
แล้ว ๒๕ มิย.ก็ผ่านไป……
โดยอัยการไม่อุทธรณ์ ปล่อยให้คดีถึงที่สุด นายพานทองแท้พ้นคดีไป

เหมือนแม่ คือ “คุณหญิงพจมาน” เมื่อปี ๒๕๕๖ อัยการสูงสุดขณะนั้น “นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์” มีคำสั่ง “ไม่ยื่นฎีกา”
ในคดีที่ “บรรณพจน์, พจมาน, กาญจนาภา” ร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหุ้นชินฯ

และนี่ สดๆร้อนๆ มิย.๖๓
อัยการสูงสุด มีคำสั่งเด็ดขาด “ไม่ฟ้องนายบอส-กระทิงแดง” ในทุกข้อหาอีก
ด้วยคำสั่งย้อนแย้งกับข้อเท็จจริงที่สาธารณชนรับรู้มาตลอดแต่ต้น กำลังนำสู่ความเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ทางการยอมรับอำนาจตำรวจและอัยการ

ในส่วนตำรวจนั้น……
มีอำนาจหน้าที่จับกุมสอบสวนทำสำนวนคดีส่งอัยการ การไม่สุจริตต่อหน้าที่ ไม่สัตย์ซื่อต่อการใช้กฎหมายในมือ
ตำรวจต่างกับโจรตรงไหน?

“คดีธรรมดา” แต่ผู้ต้องหา “ไม่ธรรมดา” ตำรวจใช้เวลา ๗-๘ ปี กับอัยการ ลักษณะขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ หลาวลงไปเป็นบ้องกัญชา

แล้วผบ.ตร.ก็เห็นดี-เห็นงามกับคำสั่งไม่ฟ้องอัยการ “ไม่เห็นแย้ง” ทำให้คดีทั้งหมดจบสิ้นเช่นนี้
ไม่ต่างเอา “ตีนตบหน้า” ชาวบ้าน เป็นเช่นนั้นจริงๆ!

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ต้องออกมาชี้แจงเหตุผลและข้อมูลอันเป็นเหตุ “สำนวนอ่อน” นำไปสู่การสั่งไม่ฟ้องให้ประชาชนทราบ
ไม่งั้น การอำลาชีวิตข้าราชการตำรวจในตำแหน่งผบ.ตร.ของท่าน ต้องอนุญาตใช้คำว่า “จบไม่สวย”!

สำหรับรัฐบาล………
โดยเฉพาะ “นายกฯประยุุทธ์” นั้น ต้องบอกว่า ถึงคราว “ทุกข์ซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น”
ไม่เกี่ยว ก็เหมือน “ต้องเกี่ยว”!
น้อยคนจะทราบว่า “สำนักงานอัยการสูงสุด” เป็นองค์กรอิสระ ไม่อยู่ในบังคับหรือสังกัดกระทรวงใด
คือ “อยู่นอกอำนาจ” นายกฯ จะไปยุ่งเกี่ยวอะไรเขาไม่ได้ มี “คณะกรรมการอัยการ-กอ.” ควบคุมดูแลตามกฎหมายไปต่างหาก

แต่นั่นแหละ ในฐานะ “ผู้นำสถาบันบริหาร” อันเป็น ๑ ใน ๓ สถาบันอำนาจหลักของประเทศ
นายกฯ ต้องออกมาทำหน้าที่ “ดับไฟอธรรม” ที่อัยการกับตำรวจก่อขึ้นเผาโครงสร้าง “สุจริต-เที่ยงธรรม” ของแกนสังคมชาติ อันพอมีเหลือให้ประชาชนได้ยึดเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” ทางความยุติธรรมขณะนี้

นายกฯ ไม่มีสิทธิ์กำกับดูแลอัยการก็จริง แต่ “สถาบันตำรวจ” อยู่ในกำกับนายกฯโดยตรง
ท่านจะอ้อมค้อมไม่ได้แล้ว คำว่า “ปฏิรูป” คือ รื้อทิ้งแล้วสร้างรูปแบบตำรวจใหม่ ต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรมจริงจัง

อัยการก็เช่นกัน……..
ด้วยอำนาจตามกฎหมาย “คำสั่งอัยการถือเป็นที่สุด” เท่ากับ “สร้างรัฐอิสระ” ให้อัยการอยู่เหนือการตรวจสอบ
อัยการใช้อำนาจสั่งคดีได้ เหนือรัฐบาล เหนือรัฐสภา กระทั่งว่า เหนือตุลาการด้วยซ้ำ

เราจะปล่อย “คนชง” คือตำรวจ”คนเซ็น” คืออัยการ เป็นเจ้าเข้าครอง ชี้คนผิด-คนถูก, เอาคนเข้าคุก-ออกคุก, ตามอำเภอใจ เกินล้ำ-ออกนอกขอบเขต อย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

กรณีนี้…….
จะถือว่า “แล้วก็แล้วกันไป” ไม่ได้ กอ.ต้องทำหน้าที่ตามพรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓
ยังไม่ต้องถึง มาตรา ๗๕ หรือ ๘๐ “ทางวินัย” หรอก แต่อย่างน้อย มาตรา ๖๔ “ข้าราชการอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง มิให้เสียหายแก่ราชการ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม”

นายวงศ์สกุล น่าจะได้รับเกียรติในมาตรานี้เป็นปฐม!
และแน่นอน……
ป.ป.ช.จะนิ่งเฉยไม่ได้ ควรต้องเรียกสำนวนสอบสวนการสั่งคดีทั้งชั้นตำรวจและอัยการทั้งหมดเข้าสู่การตรวจสอบ-ชี้มูล
และควรทราบไว้ด้วย
อัยการก็ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญา ว่าด้วยการสั่งคดีโดยไม่ชอบได้เช่นกัน

“ศาลฎีกา” เคยพิพากษาจำคุกไปแล้วด้วย!

ครับ……..
ขอย้ำ เรื่องสั่งไม่ฟ้อง “นายบอส-กระทิงแดง” คดีไม่ได้นำขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาล
“อัยการกับตำรวจ”ใช้อำนาจปิดคดีให้จบกันเอง
แต่ดูเหมือน “ประชาชน” ไม่ยอมจบกับ “อัยการและตำรวจ” เสียแแล้ว ตอนนี้!



Written By
More from plew
“สส.-สว.” ใครควรโละกว่ากัน?-เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ฮือฮากันจัง…. กับ “ตัวเลขมหัศจรรย์” ของอาจารย์ “สมศักดิ์” เจ้าสำนักยุติธรรม พอดี พรุ่งนี้ “หวยออก”! มีตัวเลขอยู่...
Read More
0 replies on ““อัยการ-ตำรวจ” เริงเมือง”