“ซื้อเวลาได้-ซื้อศรัทธาไม่ได้”

คงไม่พอกระมังครับ…ท่านนายกฯ!

ที่แสดง “ความรับรู้” ในเรื่อง……..
“อัยการ-ตำรวจ” หักจบคดี “บอส-กระทิงแดง” โดยอัยการมีคำสั่งเด็ดขาด “ไม่ฟ้องในทุกคดี”
เพียงแค่คำว่า……. “ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริง”
มันเวิ้งวางจนมองไม่เห็น “ขอบจักรวาล” อยู่ตรงไหน?
ผบ.ตร.ตั้ง “พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ” ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.เป็นประธานสอบ ให้เสร็จใน ๑๕ วัน ก็จริง
“ตำรวจสอบตำรวจ” ก็เหมือนขี้เถ้ากลบถ่านในเตา
ในขณะที่ไฟกำลังเผาไหม้ “องค์กรตำรวจ” ทั้งระบบ

“องค์กรอัยการ” ก็เช่นกัน
การที่ “อสส.” ตั้ง ๗ อัยการเป็นคณะทำงาน “ตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี” ให้ได้ข้อเท็จจริงเร็วที่สุด

“อัยการสอบอัยการ”…….
ไม่เคยปรากฏ ปิรันยากินปิรันยา?

ดังนั้น มั่นใจหรือ คำตอบที่ออกมา จะสามารถกู้ “ซากศรัทธา” ทำให้ประชาชน “เชื่อถือ-เชื่อหน้า” อัยการได้อีก?

ก็เข้าใจ ในระบบบริหาร ไม่มีอะไร “ซื้อเวลา” ได้ดีไปกว่าการ “ตั้งคณะกรรมการ”

แต่มันก็ได้กับบางเรื่อง-บางกรณีเท่านั้น
กับกรณี “ตำรวจ-อัยการ” ใช้กฎหมายตามอำเภอใจ “ตบหน้า” ประชาชน “ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า” ยิ่งกว่าลูกทาส
มันถึงจุด “สุดทน” แล้ว!

ดังนั้น นายกฯ ต้องแสดงเจตนารมณ์ให้ประชาชนมั่นใจว่า
นับจากวันนี้…..
จะตั้งคณะสังคายนา “อัยการ-ตำรวจ” จัดระบบองค์กรและอำนาจใหม่ ให้สอดคล้องทิศทางสังคมอนาคตและตอบโจทย์ประเทศ ถึงขั้น “ปฏิวัติ-ปฏิรูป”!
และต้องทำให้ปรากฏเป็นรูปธรรมทันที หลังจากหลอกๆ ล่อๆ มาตั้งแต่วันเข้ามาควบคุมอำนาจปกครองประเทศ เมื่อปี ๒๕๕๗

ที่พูดนี่ ใช่ว่า “ไม่เชื่อน้ำยา” คณะกรรมการที่ผบ.ตร.และอสส.ตั้ง ตามคำสั่งนายกฯ
หากแต่ผลสอบสวน มันจะเป็นแค่ “ยาระงับอาการ” โรคเสื่อมศรัทธาชั่วครั้ง-ชั่วครู่เท่านั้น

ในขณะที่ประชาชนเบื่อกับการอมโรคแล้ว ต้องการ “ยารักษา” เพื่อตัดสมุฏฐานโรคเสื่อมศรัทธา “ตำรวจ-อัยการ” ให้หายขาด

ฉะนั้น นายกฯ ต้องวินิจฉัยโรคให้ถูก
ไม่งั้น จะให้ยาผิด…….
แทนที่จะ “รักษาโรค” กลายเป็นให้แต่ยา “ระงับอาการ” เลี้ยงไข้ไปวันๆ ซึ่งเป็นแบบนี้มา ๕-๖ ปีแล้ว พอทีเถอะ!

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เป็นของประชาชน ด้วยปรารถนาดีต่อนายกฯเพื่อ “สังคมเป็นธรรม”

แต่การตัดสินใจ “ทำ-ไม่ทำ” เป็นของท่าน และท่านจะเป็นผู้รับผลของการตัดสินใจนั้น!

ที่อัยการ-ตำรวจตั้งคณะกรรมการสอบ ถ้าอยากรู้เขาจะสอบหาข้อเท็จจริงประเด็นไหน?

ก็ต้องไปดูเอกสารที่ “สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ๑” แจ้งถึงผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ว่าอัยการสูงสุด มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีนายบอส เมื่อ ๑๒ มิย.๖๓

ถึงเป็นเอกสารสรุป แต่ก็ยาว ทั้งภาษากฎหมาย อ่านเข้าใจยาก จึงขอแรงเพื่อนระดับอธิบดีที่เคยเรียนกฎหมาย ช่วยสรุปในสรุปให้ ดังนี้

คำสั่ง “ไม่ฟ้อง” สรุปได้ว่า……..

๑.พนง.สส.(พนักงานสอบสวน)เสนอสั่งฟ้อง ๓ ข้อหา
(๑)ขับประมาทเป็นเหตุให้คนตาย
(๒)ขับรถก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่หยุดช่วยเหลือ
(๓)ขับรถเร็วเกินอัตราที่กม.กำหนด
(๔)ไม่สั่งฟ้องข้อหาเมาสุราขณะขับรถ

๒.อัยการกรุงเทพใต้ ๑ เห็นด้วยกับพนง.สส.

๓.อธิบดีอัยการกรุงเทพใต้ เห็นด้วยกับอัยการ

๔.ผบ.ตร.ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการคดีเมาสุราขับรถ

๕.ระหว่างรอคำส่งฟ้อง………
-ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมต่อ อสส. หลายครั้ง
-อสส.ให้ตำรวจสอบเพิ่มเติม

๖.ระหว่างรอสอบเพิ่มเติม คดีขับรถเร็วเกินกำหนดจะขาดอายุความ
อัยการให้ตำรวจส่งตัวผู้ต้องหามาเพื่อฟ้อง ผู้ต้องหาไม่มา
อัยการเห็นว่ามีพฤติการหลบหนี จึงให้ตำรวจขอศาลออก หมายจับ
แต่ตำรวจก็ไม่ได้ตัวผู้ต้องหา ผลคือ “คดีขาดอายุความ”

๗.ระหว่างที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังอสส.และกมธ.สนช.อัยการให้ตำรวจสอบเพิ่มอีกหลายครั้ง

๘.สาระสำคัญที่อสส.มีคำสั่งไม่ฟ้อง
(๑) รอง อสส.รักษาการอสส. (นายเนตร นาคสุข) เห็นว่า คดีนี้ มีปัญหาต้องพิจารณาเรื่องเดียว คือผู้ต้องหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายหรือไม่?
มีข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะกลับความเห็นและคำสั่งเดิมหรือไม่?
(๒) แต่เดิมนั้น ตำรวจผู้พิจารณาความเร็วรถยนต์ขณะเกิดเหตุ เห็นว่าขับรถความเร็ว ๑๗๗ กม:ชม.อาจคลาดเคลื่อนได้ ๑๗ กม:ชม.จึงเป็นความเร็วที่เกินกำหนด ๘๐ กม:ชม.
จึงเป็นการกระทำประมาทที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย
(๓)แต่เมื่อมีการสอบใหม่…..
-พยานผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า ความเร็วรถ ๗๖.๑๗๕ กม:ชม.
-ตำรวจผู้พิจารณาความเร็วรถคนเดิม อ้างว่า ใช้วิธีคำนวณใหม่แล้ว ความเร็วของรถแค่ ๖๗.๒๓ กม.
-มีพยานบุคคลใหม่ ๒ คน โผล่มาบอกว่าขับรถตามหลัง
ขณะเกิดเหตุ บอกว่า ผู้ต้องหาขับรถความเร็วประมาณ ๕๐-๖๐ เท่านั้น
รองอสส.จึงสรุปว่า ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า…..
ผู้ตาย(ตำรวจ)ขับจักรยานยนต์เปลี่ยนเลนเข้าไปในเลนรถผู้ต้องหาในระยะกระชั้นชิด ทำให้ไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันท่วงที
เป็นเหตุสุดวิสัย……
มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวัง การกระทำของผู้ต้องหา (นายบอส) จึงไม่เป็นความผิด
-จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง

จากนี้ เราก็มาดูทีละประเด็น ที่ตำรวจ-อัยการต้องตอบ คือ

๑.ผลตรวจร่างกายนายบอสพบ “สารเสพติด” ประเภท ๒ หายไปไหน?
๒.การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา เอาคนในบ้านมารับสมอ้างเป็นคนขับ ทำไมไม่มีในสำนวน?
๓.เพราะเหตุใด พนักงานสอบสวนจึงเห็นควรไม่สั่งฟ้องฐานขับรถในขณะเมาสุรา ได้ตรวจวัดแอลกอฮอล์นายบอสหรือไม่ ที่พนักงานสอบสวนอ้าง “เมาหลังขับ” ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
๔.มีพยาน ๒ คนมาให้การ หลังเกิดเหตุ ๗ ปี ทำไมตำรวจ-อัยการเชื่อคำบอกเล่าค่อนทศวรรษ และใช้คำบอกเล่านั้น ลบล้าง”ผลตรวจพิสูจน์หลักฐานของทางการ”เรื่องความเร็วรถ จาก ๑๗๗ กม:ชม.เหลือแค่ ๖๗.๒๓ กม:ชม.?
๕.ในทางกฎหมาย ประจักษ์พยานหลังเกิดเหตุเกินครึ่งเดือนไปแล้ว รับฟังได้หรือไม่?
๖.ทำไมตำรวจ-อัยการไม่สงสัย ว่าเพราะเหตุใด ตั้ง ๗ ปี ๒ คนนี้ จึงโผล่มาเป็นพยาน?
อย่าเฉไฉในประเด็นที่ “ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่ม” หัวหน้าสาขาวิชานิติเวชวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มีหนังสือตอบสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ที่ขอทราบผลการตรวจสารในร่างกายนายบอส เมื่อ ๑ ตค.๕๕ ซึ่งพบ
-Benzoyleegonine เป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือดในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย (Metabolism) หลังจากการเสพ Cocaine (โคเคน) ซึ่ง Cocaine เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ
โดย Cocaine ปกติจะไม่พบปนอยู่ในยาหรืออาหารและสามารถในเลือดได้นาน 18-24 ชั่วโมง หลังเสพ
-Cocaethylene เป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือดในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย (Metabolism) หลังการเสพ Cocaine ร่วมกับแอลกอฮอล์
การตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่าข้ามประเด็นนี้นะ เพราะมันมีเอกสารปรากฏต่อสาธารณะยันอยู่แล้ว
พบทั้งสารโคเคน ทั้งแอลกอฮอล์ แต่ตำรวจเสนอสั่งไม่ฟ้องเมาแล้วขับ อัยการก็เออออ สั่งไม่ฟ้องตามนั้น

เอาเท่านี้ก่อนละมัง……..
พรุ่งนี้ มาดูกันเรื่องความเร็วเฟอร์รารี่ จากหลักฐานทางราชการ ๑๗๗ กม:ชม.แต่ตำรวจ-อัยการ ในเวลา ๘ ปี ทำให้เหลือแค่ ๖๗.๒๓ กม:ชม.
จากขับรถประมาทชนผู้อื่นตาย กลายเป็น “เหตุสุดวิสัย” คือไม่ประมาท จึงได้บทสรุป “ไม่ฟ้อง” นายบอส
ประมาทมั้ย เมาเหล้า-เมายาด้วยมั้ย และขับรถเร็วมั้ย? จะฉายหนังตัวอย่างให้ดูนิดก่อน……..

“…………..มีรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป.สน.ทองหล่อ อายุ 48 ปี กำลังปฏิบัติหน้าที่ในซอยสุขุมวิท 49 เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

พร้อมลากร่างด.ต.วิเชียรและจักรยานยนต์สายตรวจตราโล่ ทะเบียน 51511 ไปไกลถึง 200 เมตร ถึงซ.สุขุมวิท 49 ก่อนที่ร่าง ด.ต.วิเชียรจะหลุดออกไป

โดยผู้ขับรถยนต์สปอร์ตคันดังกล่าว ได้มุ่งหน้าเข้าไปที่บ้านพักเลขที่ 9 ซ.สุขุมวิท 53
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบ พบว่าที่พื้นมีคราบน้ำมันเครื่องของรถยนต์คันก่อเหตุ ไหลเป็นทางยาวตั้งแต่ปากซอยสุขุมวิท 53 จนเข้าไปในหน้าบ้านเลขที่ 9 ภายในซอย”

ครับ….
๖๗.๒๓ กม:ชม ทำให้เกิดสภาพเช่นนี้ได้ มีแต่ “ตำรวจ-อัยการไทย” เท่านั้น ที่เชื่อ?



Written By
More from plew
ถึงบท “โอ้ว่า…พิธาเอ๋ย” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “คลิปลับ” ฉบับ “ประดิษฐ์เอง” เรื่อง “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” องก์ ที่ ๑……
Read More
0 replies on ““ซื้อเวลาได้-ซื้อศรัทธาไม่ได้””