ล้างไม่ไหวต้องทุบทิ้ง?

ผสมโรง

สันต์ สะตอแมน

ถอดแว่นตาล้างเสียหน่อยดีไหม?

คือ..ที่ รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์..

“การต่อสู้ในวันนี้คือสงครามชิงอำนาจ สงครามที่ฝ่ายรัฐซึ่งติดอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้ามองเยาวชนเป็นศัตรูที่ต้องปราบปราม จับกุมทำร้ายและเข่นฆ่า” น่ะ

ผมว่า “แว่นตา” ของท่านคงมัว เป็นฝ้าแล้วล่ะ หรือหากแว่นไม่มัว ใจของอาจารย์ท่านนี้ก็ดูจะมืดมัวเอามาก..

ถึงขนาดใช้คำว่า “รัฐมองเยาวชนเป็นศัตรูที่ต้องปราบปราม จับกุม ทำร้าย และเข่นฆ่า”!

ด้วยความเคารพครับ ดร.พิชิต..ท่านมีสติครบถ้วนดีอยู่หรือไม่ในขณะที่เขียนข้อความนี้ ที่ผมถามก็เพื่อจะได้รู้และเข้าใจ เพราะถ้าขาดสติเพราะแรงแค้นจุกอก ก็แน่นอน..

โกรธทำให้โง่ โมโหทำให้บ้า!

ฝ่ายรัฐจะเห็นเยาวชนเป็นศัตรูหรือไม่ ผมไม่อาจหยั่งรู้ถึงก้นบึ้งหัวใจของผู้มีอำนาจได้ แต่ที่บอก “จับกุม ทำร้าย และเข่นฆ่า”..

ดร.พิชิต ช่วยกรุณาอุ้มขึ้นมาให้ดูสักศพสิ หรือถ้าหาศพไม่ได้ เอาแค่ผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยอาวุธก็ได้ แต่ไม่ใช่โดนน้ำฉีดนะ?

“เยาวชนที่มีแต่สองมือเปล่าจึงมีทางเดียวคือ “สันติวิธี” แต่สันติวิธีนี้มีขอบเขตแค่ไหนขึ้นอยู่กับการกระทำของรัฐในแต่ละขั้นตอนตามสภาพความเป็นจริง เพราะอะไร?..

 เพราะความรุนแรงทั้งปวงล้วนเกิดจากฝ่ายรัฐทั้งสิ้น”

จริงหรือ..แน่นะ?  ผมเชื่อว่าดร.พิชิต น่าจะได้ติดตามการชุมนุมของม็อบสารพัดชื่อนี้มาตั้งแต่แรก และก็น่าจะได้เห็นวิวัฒนาการของการชุมนุมมาเป็นลำดับ..

จากม็อบมุ๊งมิ๊งเรียบร้อยเป็นผ้าพับ ขยับมาใช้ความรุนแรงทางวาจาภาษาที่หยาบคาย ก่อนจะลามไปสู่การเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน และถึงขั้นแสดงความอัปรีย์ จัญไรที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ!

ซึ่งหากฝ่ายรัฐมองเยาวชนเป็นศัตรูที่ต้องปราบปราม จับกุมทำร้ายและเข่นฆ่าดังที่ดร.พิชิตมองผ่านแว่นตา (มัว) จริง ประชาชน-พสกนิกรผู้จงรักภักดีก็คงจะยังนิ่งเฉย ปล่อยให้อำนาจรัฐจัดการไป

แต่เพราะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฝ่ายรัฐมองเยาวชนเป็นลูกเป็นหลาน จึงได้พยายามที่จะใช้วิธีที่นุ่มนวลกับม็อบ แม้จะเห็นการกระทำที่อุบาทว์เลวชาติแค่ไหน-เพียงไรก็ตามที

และที่รัฐเริ่มแสดงความแข็งกร้าว เอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้กฏหมายขึ้นมา นั่นก็เพราะ “ทน”กับกระแสกดดันของฟากผู้จงรักภักดีไม่ไหว


อีกอย่าง..คงเกรง “ไทยจะฆ่าไทย” เพราะหากรัฐไม่ดำเนินการใดๆ กับม็อบมือเปล่าของดร.พิชิต ก็อาจเป็นไปได้ ที่จะเกิดสงครามกลางเมือง!

“ถ้ายังมีการเจรจา dialogue อยู่ การพูดคุยอย่างสุภาพชนคือขีดจำกัดของสันติวิธี” ..ประโยคนี้ดร.พิชิตควรที่จะสื่อไปถึงกลุ่มม็อบโน่น ส่วนที่ว่า..

 “แต่เมื่อเป็นการพูดข้างเดียว monologue แถมด้วยยัดคดี ขังคุก ยิงสีผสมสารเคมีกัดกร่อน แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ม็อบอันธพาลเสื้อเหลือง ระเบิดกระสุนจริง สันติวิธีก็ต้องปรับเปลี่ยนไป” นั้น..

ด้วยความเคารพ (อีกที) ดร.พิชิต ทุบแว่นทิ้งเถอะ!

Written By
More from pp
‘ราเมศ’ แนะ ผบ.ทบ. ดึงเด็กในสังกัดกลับเข้ากรมกอง
1 มกราคม 2565 – นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งประสานงานส่วนกลาง กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมเขต 1 จังหวัดชุมพร ว่า...
Read More
0 replies on “ล้างไม่ไหวต้องทุบทิ้ง?”