ผักกาดหอม
เอาจนได้
การประชุมสภาวานนี้ มีการอภิปรายพาดพิงไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ โดย รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
เป็นลูกเล่นของ นายรังสิมันต์ ที่บอกว่าไม่ได้พาดพิง
แค่กล่าวถึงหน่วยงานราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ได้พูดในเชิงเสียหาย
แต่…..
การอภิปรายตบท้ายของนายรังสิมันต์ ได้เปลือยแนวคิดในการอภิปรายได้ทั้งหมดว่า ส.ส.คนนี้คิดอะไรและโจมตีใคร
“ในการทำหน้าที่ ส.ส. ผมรู้ว่าครั้งนี้เป็นการทำหน้าที่อันตรายที่สุดในชีวิต
แต่เมื่อประชาชนเลือกมาแล้วก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ผมไม่รู้ว่าผลจากการทำหน้าที่ในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้ว่า ๓ วันข้างหน้ามีอะไรรออยู่ ไม่รู้ว่า ๓ เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังพูดแทนประชาชนได้หรือไม่
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่เสียใจที่ได้ทำหน้าที่ของผมในวันนี้”
หมายความว่าอะไร?
ในอดีตมี ส.ส.อภิปรายโจมตี ประจานรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี มานักต่อนักแล้ว
บางรัฐบาลต้องยุบสภาหนี
หลายรัฐบาลต้องปรับ ครม.เพื่อต่ออายุรัฐบาล
แต่ไม่เห็นมีใครต้องหวาดผวาว่าอีก ๓ วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
ยกเว้นกรณี “ฆ่าชิปปิ้งหมู” หรือ นายกรเทพ วิริยะ ที่เชียงราย
คดีนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
เหตุเกิดหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี ๒๕๔๕ เสร็จสิ้นลง
ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นผลสืบเนื่องจากการซักฟอกประเด็นสงครามยาเสพติด
ถ้าไม่นับกรณีนี้ หากการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือการทำหน้าที่ที่อันตรายที่สุดในชีวิต อภิปรายจบคงมีการจัดงานศพ ส.ส.กันเกลื่อนครับ
การซักฟอกรัฐบาลทุกครั้งจบคือจบ
การเมืองเดินหน้าต่อ
ฉะนั้นสิ่งที่นายรังสิมันต์ต้องการสื่อออกมา ไม่ใช่การเมืองของนักการเมือง
เป็นความพยายาม สร้างความเข้าใจผิด ให้ประชาชนเห็นว่าการอภิปรายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งอันตราย
แน่นอน นายรังสิมันต์ไม่ได้พูดโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
แต่การตบท้ายว่าชีวิตอาจไม่รอด คือเจตนาที่แท้จริงของนายรังสิมันต์
แน่นอน…มีจุดประสงค์อื่น
มีความกังวลก่อนหน้านี้ถึงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่มีเนื้อหานำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อฝ่ายค้านปฏิเสธที่จะแก้ไขญัตติ สิ่งที่นายรังสิมันต์อภิปรายจึงถูกนำไปบิดเบือนขยายความต่อในหมู่ขบวนการล้มล้างสถาบัน
อย่าไปถามหาความรับผิดชอบในเรื่องนี้กับพรรคเพื่อไทย เพราะถูกพรรคก้าวไกลเหยียบหัวไปนานแล้ว
“ปิยบุตร แสงกนกกุล” ยังไม่ยอมพูดเรื่อง แกนนำ ๓ นิ้ว ๔ คนติดคุก แต่ออกมาโหนการอภิปรายไม่ไว้วางใจแทน
โพสต์เฟซบุ๊กไว้ตามนี้ครับ
…..”การอภิปรายพูดถึงบุคคลภายนอกในสภาผู้แทนราษฎรกระทำได้” ระบุว่า การอภิปรายพูดถึงบุคคลภายนอกในสภาผู้แทนราษฎรกระทำได้ ต่อให้พูดแล้วบุคคลเสียหายก็ยังทำได้
เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๔ วรรค ๓ และข้อบังคับการประชุมสภาข้อ ๓๙ กำหนดไว้ชัดเจนว่า “บุคคลภายนอกผู้เสียหายมีสิทธิขอเข้ามาชี้แจงได้ภายใน ๓ เดือน และมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้”
ในอดีต ส.ส.ฝ่ายค้านมักอภิปรายถึงบุคคลภายนอก ในกรณีที่บุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีซึ่งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ การกล่าวถึงจึงเป็นเรื่องปกติ โดยมีกรณีที่การกล่าวถึงบุคคลภายนอกนั้น ถูกพูดถึงได้ และส่งผลถึงขั้นทำให้รัฐบาลต้องยุบสภา
เช่น ในกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๙ โดยมีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีการอภิปรายถล่ม สุชาติ ตันเจริญ และ “กลุ่ม ๑๖” ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งไว้คือ กรณีเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของการปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน)
โดยพูดถึงคนนอก ทั้งธนาคาร ทั้งกรรมการผู้จัดการ ส่งผลสะเทือนให้รัฐบาลพรรคชาติไทยตัดสินใจยุบสภาในเวลาต่อมา และทำให้ประชาชนไปถอนเงินจากธนาคารเพราะมีความไม่น่าเชื่อถือ การอภิปรายครั้งนั้นเป็นการพูดถึงบุคคลภายนอกอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไทย มีการอภิปรายเรื่องสถาบันกษัตริย์กันโดยตลอด ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เพิ่งมายุคนี้ที่ประท้วงกันมากจนน่าสงสัย ดูบันทึกเอกสารการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่สามารถพูดได้ทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องสถาบันฯ ได้อย่างตรงไปตรงมา ได้ที่นี่
ดังนั้น การอภิปรายถึงบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อประโยชน์ของการรักษาผลประโยชน์ชาติ ย่อมทำได้ และยิ่งต้องทำด้วย และผู้อภิปรายต้องรับผิดชอบในการอภิปรายของตนเอง”…..
“ปิยบุตร” เสนอให้ยกเลิก ม.๑๑๒ ไม่ใช่แก้ไขนะครับ เสนอให้ยกเลิก ออกมาแสดงความเห็นว่าสามารถพาดพิงสถาบันในญัตติซักฟอกรัฐบาลได้ โดยอ้างการกล่าวถึงบุคคลภายนอกในอดีต
หากประเทศไทยมีนักกฎหมายแบบนี้เยอะๆ ฉิบหายครับ
การอ้าง รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๔ วรรค ๓ และข้อบังคับการประชุมสภาข้อ ๓๙ นั่นไม่ผิด แต่อ้างไม่หมด
ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ ๓๙ นั้นเกิดขึ้นหลัง ข้อ ๖๙ ที่กำหนดว่า
“การอภิปรายต้องอยู่ในประเด็นหรือเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังปรึกษากันอยู่ต้องไม่ฟุ่มเฟือย วนเวียน ซ้ำซาก หรือซ้ำกับผู้อื่น และห้ามไม่ให้นำเอกสารใดๆ มาอ่านให้ที่ประชุมฟัง โดยไม่จำเป็น และห้ามไม่ให้นำวัตถุใดๆ เข้ามาแสดงในที่ประชุม เว้นแต่ประธานจะอนุญาต ห้ามผู้อภิปรายแสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด และห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น”
แต่เมื่อพาดพิงไปแล้ว และเกิดความเสียหาย ก็นำไปสู่ข้อ ๓๙
และข้อ ๓๙ ไม่ใช่การอนุญาตให้ใช้สภาด่าคนนอก
“…ในกรณีที่สมาชิกกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น อันอาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกได้รับความเสียหาย บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอต่อประธานสภาภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่มีการประชุมครั้งนั้น เพื่อให้มีการโฆษณาคำชี้แจง การยื่นคำร้องต้องทำเป็นหนังสือพร้อมคำชี้แจงประกอบข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนและอยู่ในประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่าก่อให้เกิดความเสียหายเท่านั้น…”
หมายถึงเมื่อพลาดไปแล้ว ก็ใช้ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ ๓๙
การซักฟอก กรณี แบงก์บีบีซี ในอดีต เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกมากมาย เพราะเนื้อหาทุจริตเกี่ยวเนื่องไปถึง
และประธานในที่ประชุมคือผู้วินิจฉัยว่าให้พาดพิงได้
เหมือนกรณี “หมอวรงค์” ลากไส้ขบวนการโกงจำนำข้าว ที่ลากคนนอกสภาติดคุกหลายคน
แต่การอภิปรายของนายรังสิมันต์ มาจากมโนว่าคนนอกสภาเข้าไปเกี่ยวข้อง สาเหตุเพียงเพราะอคติที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สรุปคือในคำอภิปรายของนายรังสิมันต์ ต้องไปพิสูจน์ว่าผิด ม.๑๑๒ หรือไม่
แต่คนกลุ่มนี้อยากให้แก้ ม.๑๑๒ หรือยกเลิกไปเลย
ถ้าทำสำเร็จคิดหรือว่า สภาจะไม่ถูกนำมาเป็นเวทีล้มล้างสถาบัน.