โซเชียลมีเดีย “อำนาจโลก”!

“อดทนอ่าน” อะไรที่เกิน ๘ บรรทัดซักวันเถอะ!

จะได้รู้สภาพจริงว่า…….
ทุกวันนี้ เราทุกคน ไม่ว่าฝ่ายล่มชาติ, รักชาติ, ทั้งออกหน้าและหนุนหลัง ทั้งหมดคือ “สินค้าทาส” ของเฟซบุ๊ก!
เขาสร้างเครื่องมือที่เรียก “โซเชียลมีเดีย” ล่อให้ทุกฝ่ายเข้ากรงดัก แล้วจับทั้ง “ซ้าย-ขวา” ไปขายเป็นสินค้าทาส
เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”?

“คุณอัษฎางค์ ยมนาค” จะให้คำตอบ ท่านโพสต์ไว้หลายวันแล้ว ผมจะลอกมาให้อ่าน

“คุณอัษฎางค์ ยมนาค”
“ดาร์กไซด์ของโซเชียลมีเดียคือผู้สร้างกองทัพซอมบี้ ด้วยเครื่องมือสร้างความแตกแยก”

[๑] จากบทสัมภาษณ์นักเทคโนโลยีหลายคน ที่เคยเป็นผู้ร่วมบุกเบิกหรือทำงานกับบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างโซเชียลมีเดีย ที่ลาออก เพราะละอายใจ และทนไม่ได้
กับการเป็น “ผู้ร่วมสร้างเครื่องมือ” ที่สร้างความแตกแยกในสังคม

คำว่า “โซเชียลมีเดีย” ที่เราคุ้นเคยและเข้าใจว่า มันคือ การสร้างสังคมสมัยใหม่ แต่ความจริง มันกำลังทำลายสังคมของเรา ด้วยการสร้างความแตกแยก

พวกเราคงรับรู้ได้ว่า เมืองไทยของเราเหมือนต้องมนต์ดำ คนเชื่อแต่ข่าวเท็จ, เท็จเป็นจริง, จริงกลายเป็นเท็จ, จนดูเหมือนว่า ผู้คนมากมายต้องมนต์
มีประโยคเปรียบเทียบหนึ่งกล่าว “เทคโนโลยีอันล้ำสมัย ก็คือเวทมนต์ดีๆนี่เอง”

[๒] พวกเรา ผู้ที่เข้าสู่ “โลกออนไลน์” อาจไม่ทันรู้ว่า…
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณคลิกลงบนแป้นพิมพ์ หรือแตะลงบนจอ หรือคลิปทุกคลิปที่คุณดู ในโลกออนไลน์ จะ “ถูกจับตา ติดตาม”

สุดท้าย ทุกคลิก ทุกตัวอักษร ที่คุณกดลงบนแป้นพิมพ์หรือแตะลงบนหน้าจอ ทุกคลิปที่คุณดู จะ “ถูกบันทึก” เอาไว้ทั้งหมด
แล้วจะถูก “ประเมิน” ว่าคุณสนใจอะไร แค่ไหน อย่างไร?

และจบด้วยการ “วิเคราะห์” ว่า…….
คุณเป็นคนอย่างไร เป็นคนประเภทไหน สนใจ ไม่สนใจอะไร อย่างไร?
เขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ เขารู้ว่าคุณแอบดูหนุ่ม แอบดูสาวคนไหน สนใจใครเป็นพิเศษ คุณทำอะไรตอนเช้าตรู่หรือตอนดึกๆ เขารู้ว่าคุณชอบเข้าสังคม หรือชอบเก็บตัว

เขารู้แม้กระทั่งบางเรื่องในตัวคุณ ที่ตัวคุณเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตอนไหนคุณเหงา ตอนไหนคุณซึมเศร้า คุณเป็นโรคประสาทแบบไหน?

เขารู้จักตัวคุณ มากกว่าที่คุณรู้จักตัวคุณเองเสียอีก!
ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้จ ะถูกป้อนลงในเครือข่ายด้วยเครื่องจักรกล AI อันทันสมัยและชาญฉลาด

AI จะประเมินพฤติกรรมของคุณอยู่ตลอดเวลา จนแม่นยำ จนในที่สุด AI จะรู้ว่าคุณเป็นใคร มากกว่าที่คุณจะรู้จักตัวคุณเอง

[๓] เขามีกระบวนการทำงานอย่างไร?
จากที่อธิบายมา คือเมื่อเขามีข้อมูลของคุณ จากคลิกทุกคลิก คลิปทุกคลิป ไลน์ทุกไลน์ของคุณ จะถูกนำไปประเมิน วิเคราะห์พฤติกรรมของคุณ

แล้วเขาจะสร้างโมเดลตัวคุณขึ้นมา!
โมเดลนั้น คือสิ่งที่สามารถบอกได้ว่า คุณเป็นคนยังไง ชอบไม่ชอบอะไร เชื่อไม่เชื่ออะไร บ้าคลั่งเรื่องอะไร

โดยกระบวนทั้งหมดนี้ ถูกขับเคลื่อนและควบคุมโดย “อัลกอริทึม”

“อัลกอริทึม” นี้ ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ก็จริง แต่ในที่สุด AI จะเป็นคนใช้งานและควบมันเอง

[๔] อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจมีคำถาม ว่าเขาต้องการข้อมูลส่วนตัวของคุณเหล่านั้น ไปเพื่ออะไร?

เขาเอาข้อมูลของคุณไปเชื่อมต่อเข้ากับอีกคน ที่เรียกว่า “โซเชียลมีเดีย” เป็นสังคมออนไลน์

โดยกระบวนการเชื่อมคนสองคนหรือหลายคนเข้าหากันนี้ มีบุคคลที่ 3 ที่ไม่เห็นตัวตน ซึ่งบุคคลที่ 3 นี้ คือผู้จ่ายเงิน ซื้อข้อมูลของคุณจากบริษัทเทคโนโลยีและขายโฆษณาไปสู่คุณ

คุณอาจไม่เคยรู้ตัวว่า คุณทุกคนคือ “สินค้า” ของเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาแกรม และบริษัทโซเชียลมีเดียทั้งหลาย

โดยคุณจะถูกขายให้กับบริษัทต่างๆ และบริษัทนั้นๆ จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าโฆษณาหรือแม้แต่จ่ายค่าข้อมูลส่วนตัวของคุณให้กับ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาแกรม และบริษัทโซเชียลมีเดียทั้งหลาย

[๕] มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นนายกฯ หมอ วิศวกร พ่อค้า หรือคนขับรถเมล์ ล้วนมีความสามารถและความชำนาญสูงในวิชาชีพของตน แต่พวกเขาทุกคนล้วนมีความ “เปราะบาง” ทางด้านจิตใจ

บริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้น ได้ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย บวกเข้ากับวิชาจิตวิทยาการชักจูงคน เพื่อสร้าง “โมเดลธุรกิจ” ด้วยการสร้างเทคโนโลยีเพื่อจูงใจคนที่มี “จิตใจเปราะบาง” เหล่านั้น

เขาชักจูงใจเรายังไง?
ก็สร้างเทคโนโลยีให้ชักจูงจิตใจให้เราเพลิดเพลินติดใจ “อยู่ที่หน้าจอ” ให้มากที่สุด

การที่คุณต้องก้มมอง หรือจับมือถือขึ้นมาเช็คข้อความ หรือ New feed ตลอดเวลา นั้น ไม่ใช่นิสัยของคุณ แต่มันเป็นผลจากเทคนิคในการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อจูงใจคุณ

[๖] เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาแกรม และบริษัทโซเชียลมีเดียทั้งหลาย คือผู้สร้างเครื่องมือสำหรับชักจูงใจคน ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย

“โซเชียลมีเดีย” คือ เครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมนุษย์สร้างมา

ทีนี้ลองคิดดูว่า เครื่องมือนี้ตกไปอยู่ในมือเผด็จการ, นักการเมือง, นักเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือพวกลัทธิอำนาจนิยม ดูสิ!!!

ยุคนี้ถ้าคุณต้องการควบคุมคนในประเทศ
ไม่มีเครื่องมือใดจะมีประสิทธิภาพสูงเท่าโซเชียลมีเดีย อย่างเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อีกแล้ว

เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาแกรม ได้สร้างเครื่องมือในการควบคุมความเห็นของประชาชนให้แก่รัฐบาล กองทัพ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ก่อความรุนแรง
**ด้วยเครื่องมือช่วยกระตุ้นให้เกิดการ “ใช้ความรุนแรง” โดยไม่ต้องใช้ทุนมาก

[๗] “กองทัพซอมบี้ เกิดขึ้นได้ยังไง”?
ถ้าใครอยากจะล้มเจ้า ก็เข้าไปหากลุ่มคนที่ฝักใฝ่ทฤษฎีสมคบคิด ที่เชื่อว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยร่ำรวยที่สุดในโลก แถมไม่เคยเสียภาษี พระราชกรณียกิจเป็นเรื่องลวงโลก

แล้วก็แค่ขอเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ว่า “หาผู้ใช้งานแอพของตนแบบนี้มาให้สักร้อยหรือพันหรือหมื่นคน”

เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ก็จะส่งผู้ใช้งานในแอพของตนที่มีความเชื่อแบบนั้นมาให้ตามจำนวนที่ต้องการ

ทีนี้ สิ่งที่แกนนำกลุ่มล้มเจ้าต้องทำคือ “ป้อนทฤษฎีสมคบคิด” ให้คนพวกนั้นเพิ่มเติม ป้อนข้อมูลเท็จที่สนับสนุนความเชื่อของคนกลุ่มนั้นเพิ่มเติม

**เพียงแค่นี้ แกนนำคนล้มเจ้า ก็ได้ “กองทัพซอมบี้” แล้ว และมันจะค่อยๆลุกลาม ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นักการเมืองที่ชั่วร้าย จะได้รับการติดปีกด้วย “อัลกอริทึม” เครื่องมือมันทันสมัยในการจูงใจฝูงชนจำนวนมหาศาลเป็นเครือข่ายที่กระจายออกไปไม่สิ้นสุด

ข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาราวกับเป็นความจริงจะถูกทำให้ผู้คนสับสน จนเชื่อคำหลอกลวงเหล่านั้น

เมื่อมนุษย์ร่วมมือกับ AI เป็นหนึ่งเดียว ฝ่ายตรงข้ามจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่หมัด

ในขณะที่ฝ่ายเราจะควบคุมสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราเชื่อได้น้อยลงทุกที

[๘] ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีใครเชื่อเรื่องจริงดูสิ
ทุกคนเชื่อว่ารัฐบาลโกหกพวกเรา, พระราชกรณียกิจในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทำมา 80 ปี คือเรื่องโกหก, ประวัติศาสตร์ชาติเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด, ถูกรัฐบาลหลอกให้อยู่บ้าน ทั้งที่โควิด-19 ไม่มีอยู่จริง
ทุกอย่างคือ “ทฤษฎีสมคบคิด” ซึ่งเรากำลังไปสู่จุดนั้นหรือถึงจุดนั้นแล้ว!

[๙] สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ คือปัญหาในระดับโลก ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ และประเทศที่เป็นเป้าคือ ประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
สังเกตมั้ยว่า ทั้งอเมริกา ฮ่องกง และไทย ประสบปัญหานี้อย่างหนัก ในขณะที่จีน แทบไม่มีปัญหานี้เลย!

มันคือสงครามที่สู้รบด้วย “คีย์บอร์ด”
คนๆ หนึ่ง สามารถคุกคามอีกคนหนึ่ง ด้วยคีย์บอร์ด
คนๆ หนึ่ง สามารถชักจูงคนอีกคน หรือคนจำนวนมาก ได้ด้วยคีย์บอร์ด

ประเทศหนึ่ง สามารถชักจูงหรือคุกคามอีกประเทศหนึ่งโดยไม่ต้องส่งทหารและอาวุธไปรุกรานพรมแดน



วิธีการของมัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากจะเชียร์ใคร
**แต่อยู่ที่การสร้างความวุ่นวาย และทำให้สังคมแตกแยกต่างหาก
มันอยู่ที่การสร้างคนสองฝ่าย ที่ไม่ฟังกันได้ต่อไป และไม่ไว้ใจกันอีกต่อไป

โซเชียลมีเดีย อย่าง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ที่เป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมดของคนทั้งประเทศ ไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตย
แต่กำลังทำลายประชาธิปไตยให้พังทลายได้รวดเร็วมาก ด้วยการสร้างความแตกแยกทางความคิดให้กับสังคม

[๑๐] Marco Rubio วุฒิสมาชิกจากรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกาพูดว่า
เราคือประเทศที่ประชาชนไม่หันหน้าพูดคุยกันอีกต่อไป
เราคือประเทศที่ประชาชนพร้อมจะตัดเพื่อนตัดฝูง
เพียงเพราะเขากาบัตรเลือกคนที่ต่างจากเรา เราคือประเทศที่ประชาชนโดดเดี่ยวตัวเอง และดูแต่ช่องที่บอกว่า “เราคิดถูกแล้ว”



“มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” พูดแก้ตัวในรัฐสภาสหรัฐว่า
ทางออกในระยะยาวของเราคือ การสร้างปัญญาประดิษฐ์เพิ่ม แต่ความจริง AI ไม่รู้ว่าข้อมูลที่คนป้อนให้ อะไรคือเท็จ อะไรคือความจริง

[๑๑] “โซเชียลมีเดีย” คือเครื่องมือในการสร้าง “กองทัพซอมบี้ไซเบอร์สีส้ม” ที่นับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทวีคูณ
มันกำลังทำลายประชาธิปไตยให้พังทลายได้รวดเร็วด้วยการสร้างความแตกแยกทางความคิดให้สังคม จนไม่มีพี่น้อง, เพื่อน, พ่อแม่ กระทั่งไม่มีประเทศชาติ

มีแต่ข้อมูลเท็จและข่าวปลอม ที่สร้างมาอย่างง่ายดาย ถูกป้อนลงในหัวสมองและสร้างความสับสนต่อจิตใจที่เปราะบางของมนุษย์ชาติ จนแยกแยะไม่ได้ว่า “อันไหนจริง อันไหนเท็จ”?
สุดท้าย ข้อมูล “เท็จคือจริง-จริงคือเท็จ”



[๑๒] ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรกำลังทำสงครามรุกรานไทยเราด้วยโซเชียลมีเดียนั้น
ในประเทศสหรัฐฯ เอง ก็โดนภัยคุกคามจากโซเชียลมีเดียที่ตนเองสร้างขึ้นเหมือนกัน
เห็นข่าวที่คนลุกฮือต่อต้านรัฐบาลจากกรณีที่ชายผิวดำตายเพราะโดนตำรวจจับหรือไม่?

เห็นข่าวชาวอเมริกันไม่ยอมรับกฏระเบียบในการรับมือโควิดหรือไม่, เห็นชาวอเมริกันไม่เชื่อว่าโควิดอันตรายหรือไม่?
และเห็นผลของมันที่ทำให้อเมริกามีผู้ติดเชื้อโควิดสูงที่สุดในโลกหรือไม่ นั้นก็มาจาก “แรงจูงใจที่สร้างอุปทานหมู่จากโซเชียลมีเดีย”!

[๑๓] อาวุธที่รัฐบาลไทยควรจัดตั้งงบประมาณจัดซื้อด่วนที่สุด คืออาวุธที่จะใช้รับมือกับสงครามไซเบอร์ ที่ผู้คนทุกคนมี “คีย์บอร์ดเป็นอาวุธ” พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและจิตวิทยา



ข้าศึกของเรา ไม่ใช่กองทัพที่รุกรานทางพรมแดนแบบเดิมๆ แต่เป็นนักรบที่ไร้พรมแดน กับเครื่องมือที่ไม่มีตัวตน แต่มีประสิทธิภาพจูงใจคน ให้สร้างความแตกแยกในสังคมและในครอบครัว อย่างที่ไม่สามารถจะจับมาต่อให้ติดอย่างเดิมได้อีกต่อไป

หยุดส่งตะพาบน้ำไปจับโจรที่วิ่งอยู่ในใยแก้วนำแสงความเร็วแสงเสียที
-อัษฎางค์ ยมนาค
…………………..
ขอหลบไปกินชีสเค้ก ๒-๓ วัน จันทร์จะกลับนะ!

Written By
More from plew
รอบนี้ “คนแก่ขอก่อน” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน วันนี้ คุยเรื่อง “จองคิว” ฉีดวัคซีนผ่านทางไลน์ “หมอพร้อม” กันซักวัน เพราะเท่าที่ฟัง ……….. มีหลายเสียงบ่น ว่าพบปัญหาในการจอง...
Read More
0 replies on “โซเชียลมีเดีย “อำนาจโลก”!”