“การเมือง” ที่ไม่มี “วันพระ”

วันนี้ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา

เมื่อพูดถึงคำว่า “เข้าพรรษา”
สิ่งแรกที่คนไทยแทบทุกคนนึกถึง คือ คำว่า “ทำบุญ”
เรื่องบุญนั้น ……….
“หลวงพ่อชา สุภัทโท” วัดหนองป่าพง บอกว่า
“การทำบุญ โจรมันก็ทำได้ มันเป็นแค่ปลายเหตุ การไม่ทำบาปทั้งหลายทั้งปวง นั้นคือต้นเหตุ”

นี้คือธรรมสัจจะ บางคนอาจนึก คำของหลวงพ่อชา ฟังแล้วเก็ตทันที แต่ดูบ้านๆ
ก็อยากจะบอกว่า………
บ้านๆ นี่แหละ คือ “หัวใจธรรม” ทั้งหมดใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่เรียก “หัวใจพระปาฏิโมกข์” อันถือเป็น “หัวใจพระพุทธศาสนา”

“เหตุและผล” คือ หลักของพระพุทธศาสนา
การไม่ทำบาปทั้งปวง, การทำกุศลให้ถึงพร้อม, การทำจิตใจของตนให้ผ่องใส คือ หัวใจพระพุทธศาสนา
ครั้งพระพุทธองค์ ส่งพระอริยสงฆ์แยกเป็นสายๆ ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทรงให้ยึดหลัก ๓ ประการนี้ในการเผยแพร่

-สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ไม่ทำความชั่วทุกอย่าง หมายถึง ……..
การไม่ประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ คือไม่ทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น

-กุสะลัสสูปสัมปะทา ทำแต่ความดี
หมายถึง ……….
การประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ คือทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข ความเจริญ แก่ตนเองและผู้อื่น

-สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ทำใจให้ผ่องใส
หมายถึง ……….
การอบรมจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง

นี้คือ “ต้นเหตุ” แห่งบุญแท้
ไม่ใช่ ชั่วทั้ง กาย-วาจา-ใจ ทุกวัน-ทุกเวลา ได้ไปเวียนเทียน ใส่ซองทอดกฐินซักครั้ง ก็ทึกทัก ว่าทำบุญ-ได้บุญแล้ว
มันเป็นอย่างที่หลวงพ่อชาบอกนั่นแหละ…..
“การทำบุญ โจรมันก็ทำได้ เป็นแค่ปลายเหตุ”
จะได้บุญมั้ยล่ะ ในเมื่อ “ต้นเหตุ” คือวันๆ ใจหมกมุ่นครุ่นคิดแต่จะหมายปองจ้องร้ายคนอื่นเขาร่ำไป

วันนี้ กูจะปั่นเฟกนิวส์ใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาลเรื่องอะไรดี กูจะประดิษฐ์คำ-พลิกประเด็นด่านายกฯ ให้แสบสันอย่างใดดี กูจะคิดแผนชั่ว-เรื่องชั่ว ทำลายบ้านเมืองอย่างใดดี?

เนี่ย…….
แบบนี้ ถึงจะทอดกฐินร้อยวัด ก็ไม่แน่จะได้บุญ เพราะมันเป็นแค่ “ปลายเหตุ”!

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนประชุมพิจารณาพรบ.งบประมาณ ปี ๖๔
เห็นสส.พรรคก้าวไกล มีทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งไม่หญิง-ไม่ชาย หลายคน พกไฟในหัวใจแสดงโวหาร เป้าหมาย พิฆาตคลั่งนายกฯ ประยุทธ์

การแสดงออกแบบนั้น ……..
เมื่อไหร่จะ “กุสะลัสสูปสัมปะทา” คือประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ ทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข ความเจริญ แก่ตนเองและผู้อื่นล่ะ?

ดูหน้าจอโทรทัศน์ เห็นนายกฯ ชี้แจง ที่ส.ส.ก้าวไกลนางหนึ่งอภิปรายว่า นายกฯมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู
นายกฯ ชี้แจง เนื้อหาตามคำพูดบางตอน ว่า………

“หลายท่านเป็นคนรุ่นใหม่ ผมยอมรับว่าเขาพูดเก่ง แต่อย่ามากล่าวหาว่า ผมใช้กฎหมายไปกับผู้เห็นต่าง
กฎหมายก็อยู่ของกฎหมายเฉยๆ ผมก็นั่งอยู่ของผมเฉยๆ ใครผิดกฎหมายก็โดนลงโทษ จะให้ผมทำยังไง ให้ผมสั่งเขาได้ใช่ไหม
ถ้าผมสั่งได้ คงไม่เป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้สั่ง ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน กฎหมายมันมีผลบังคับใช้หมดทุกคน แม้กระทั่งผมเอง ผมก็ยอมรับกฎหมาย …….”

เจตนาก็ชัดเจนในคำที่นายกฯ พูด
แต่คงเพราะบางคนขาดธรรมข้อ “สะจิตตะปะริโยทะปะนัง” จิตจึงหมกมุ่น ตกคลั่กอยู่แต่ในอารมณ์ “โลภ,โกรธ,หลง”
ตัดฉับ เอาเฉพาะวลี “ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน” ปั่นประเด็น ปั่นแฮชแท็ก โพนทนา “นายกฯ ข่มขู่”!

นี่…ต้นเหตุ จาก “อกุศลจิต” ของตัวเอง มุ่งบิดเรื่อง-บิดประเด็น หวังใส่ร้ายต่อนายกฯ
นายกฯไม่ซวย แต่ตัวเองซวย เพราะผู้มีธรรมในหัวใจ เขารู้-เขาเห็น-เขาฟัง ออกมาเป็นพยานยัน “อิหยังของพวกสังคังสังคมกลุ่มนี้วะ”

“ตัดประโยค-ตัดคำ” ไปทิ่มตำกันดิบๆด้านๆ ต่อหน้า-ต่อตาประชาสังคมขนาดนี้เชียวหรือ?
ประชาชนเดี๋ยวนี้ ยึดเหตุและผล เป็นหลักในการรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองดีขึ้นผิดหู-ผิดตาแต่ก่อนมาก
เป็นเรื่องน่าดีใจนะ ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อชาวบ้านเสพการเมืองแบบมีหลักการ

นักกินเมือง นักปลุกปั่นเมือง ไม่ว่ารุ่นใหม่-รุ่นเก่า ที่อาศัยคราบระบบเลือกตั้ง หวังเข้ามาด้วยทุจริต-คิดไม่ชอบ จะค่อยๆ ถูกชาวบ้าน ใช้บั้นท้ายเท้าเขี่ยออกไป

อย่างเรื่องพรก.ฉุกเฉิน รัฐบาลคงไว้เป็นเครื่องมือปราบโควิด “เผื่อจำเป็น” จะได้ออกมาตรการทันท่วงที
ประชาชนเข้าใจ รัฐบาลคงไว้เฉยๆ ในทางปฏิบัติทั่วไปไม่ได้ใช้พรก.นั้น ไขว้เขวไปทางใช้กำจัดกากเดนใดเลย

ก็มีแต่พวกจิตอกุศล จ้องคิดชั่ว-ทำชั่วต่อบ้านเมืองเท่านั้น ดิ้นเร่าๆ เหมือนผีเข้าถูกข้าวสารเสก ร้องแรกแหกกระเฌอ รัฐบาลคงไว้หวังใช้ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
ใครล่ะ ฝ่ายตรงข้าม?

ถ้ามีคนคิดชั่ว-ทำชั่วต่อบ้านเมือง คนพวกนั้นแหละคือฝ่ายตรงข้าม แล้วที่ไหนในโลก เลี้ยงคนชั่วต่อชาติไว้บ้างล่ะ?
คนคิดชั่ว-ทำชั่วกับบ้านเมือง เลี้ยงไว้ทำไม…….

กับสุจริตชน ประชาธิปไตยโดยธรรมชาติ ก็เป็นประชาธิปไตยพระ แต่กับทุจริตชน ธรรมชาติของประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยโจร ตามนัยของมัน!


๔-๕ วันก่อน ……..
เห็น “รองโฆษกพลังประชารัฐ” คนหนึ่ง “น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ” ตอบโต้เป็นข่าวทางโทรทัศน์และตามหน้าหนังสือพิมพ์ฟังแล้ว-อ่านแล้ว อดชมในใจไม่ได้
เด็กคนนี้ “มีหลัก” ในการพูดจาแถลงโต้ แถลงแต่ละครั้ง ยึดเหตุผลและหลักกฎหมาย ไม่มุ่งทางสีสัน ปั่นวาทะหยาบกร้าน แต่แหลมคมทางมุมคิดและข้อเท็จจริง

อย่างเรื่อง “นายปิยบุตร” โพสต์เฟซ……
“ไม่มีความจำเป็นใดหลงเหลือ ในการคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน”
รองโฆษกพลังประชารัฐ “น.ส.ทิพานัน ชี้แจง” เผ็ดในเนื้อ” ได้น่าทึ่ง

“พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่มีเป้าหมายทางการเมือง ผลของการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ประเทศไทยควบคุมโรคได้ดี จนได้รับโอกาสต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป ให้พลเมืองไทยได้รับอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ
ต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากมีความปลอดภัย และเชื่อว่าโอกาสต่างๆ จะตามมาอีกมาก
ในการพิจารณาคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน นั้น มีการพิจารณารอบด้านทุกมิติจากทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้อง ว่ายังมีความจำเป็น
เพราะในเดือน ก.ค.จะมีการผ่อนคลายในระยะที่ ๕ ของกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในโซนสีแดง ล่อแหลมต่อการระบาดของโควิดมากที่สุด

ดังนั้น จึงต้องให้ความสำคัญในการป้องกันอย่างมาก จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดระลอกใหม่
คณะก้าวหน้ากลับไม่เคยก้าวเท้าออกมาจากบ้านลงพื้นที่ เพิ่งจะมีการลงพื้นที่ครั้งแรก คือวันที่ ๒๗ มิ.ย.ตามที่นายธนาธรได้ให้สัมภาษณ์ไว้

ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ระหว่างช่วงเวลาวิกฤติที่ผ่านมาเกือบ ๔ เดือน คณะก้าวหน้าไม่เคยได้รับฟังเสียงประชาชนจริงๆ เลย
การกล่าวอ้างต่างๆว่าเป็นเสียงของประชาชน อาจจะมาจากเสียงของแกนนำ ๓ คนที่คุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้นหรือไม่
ส่วนที่อ้างความเห็นสื่อญี่ปุ่นประกอบการวิพากษ์วิจารณ์จากห้องแอร์ของนายปิยบุตรนั้น ก็ดูตลก

เหมือนจัดฉากทำเป็นขบวนการ โดยให้ฝ่ายตัวเองให้ข่าวกับสื่อญี่ปุ่น แล้วเอาข่าวของสื่อญี่ปุ่นมากล่าวอ้างอีกที
เพราะไม่แน่ใจว่า……
ข้อมูลที่สื่อญี่ปุ่นได้รับนั้น เป็นความเห็นฝ่ายเดียวจากความเห็นส่วนตัวของส.ส.พรรคก้าวไกลที่ให้สัมภาษณ์สื่อประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือไม่?

ไม่แน่ใจว่า การออกมาแสดงความคิดเห็นของนายปิยบุตรเป็นไปเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของประชาชน
หรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง”

อืมมม…..
คม สุภาพ แต่แสบ และบาดลึก นานๆได้เห็นคนรุ่นใหม่พลังประชารัฐ เป็นมวยหลักในการพูดจาสร้างภาพลักษณ์ให้พรรค “ได้รังวัด” แบบนี้!

ก็คุยกันเท่านี้ละมัง…….
ช่วงนี้ คงกระจัด-กระจายย้ายแยกไปอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบผ่านการท่องเที่ยวกัน พุธนั่นแหละจะกระปลก-กระเปลี้ยมาทำงานกัน
ฉะนั้น วันนี้ สัพพี ติโย แค่นี้ก่อนนะ.

LineID:plewseengern.com


Written By
More from plew
“ซื้อเวลาได้-ซื้อศรัทธาไม่ได้”
คงไม่พอกระมังครับ…ท่านนายกฯ! ที่แสดง “ความรับรู้” ในเรื่อง…….. “อัยการ-ตำรวจ” หักจบคดี “บอส-กระทิงแดง” โดยอัยการมีคำสั่งเด็ดขาด “ไม่ฟ้องในทุกคดี”
Read More
0 replies on ““การเมือง” ที่ไม่มี “วันพระ””