“ร้าย” ประเทศไทยกลายเป็น “ดี”

นี่แหละ..ที่เขาว่า “ร้อยคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต”

ขณะไทยเป็นเจ้าภาพประชุม “รัฐมนตรีอาเซียน” และประเทศคู่เจรจา กว่า ๓๐ ประเทศ ระหว่าง ๒๙ กค.-๓ สค.๖๒

รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ, จีน, รัสเซีย, ออสเตรเลีย, แคนาดา, สหภาพยุโรป อินเดีย, ญี่ปุ่น, นิวซีแลนด์, เกาหลีใต้ คูเวต, บังคลาเทศ, เกาหลีเหนือ, มองโกเลีย, ปากีสถาน, ปาปัวนิวกินี, ติมอร์-เลสเต, ศรีลังกา, นอร์เวย์, เปรู, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี และฯลฯ นอกเหนือ ๑๐ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
เรียกว่าบิ๊กๆทั้งนั้น “สามัคคีชาติ” อยู่ในกรุงเทพฯ

แล้วมันก็ซุก “ระเบิด”!

ไม่ต้องบอก ทุกคนก็รู้ พวกไหนทำ ทำเพื่ออะไร ขณะ “แขกบ้าน-แขกเมือง” เต็มประเทศ

ก็เพื่อให้รัฐบาลเสียหน้า-เสียชื่อเสียง ที่เรียก discredit

มันต้องการให้คำว่า บึ๊ม..ระเบิด..ประยุทธ์..ประเทศไทย..ไม่ปลอดภัย..เผด็จการ

ปรากฎอยู่ในข่าวที่จะกระพือไปทั่วโลก โดยอาศัยชื่อคนดังของแต่ละประเทศ เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ, จีน, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ เป็นตัวประกันว่า ข่าวนี้ต้องได้ออก

แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม……..
ที่หวังร้าย กลายเป็นผลดี เพราะการสร้างสถานการณ์นี้กลับทำให้แต่ละประเทศ…เคลียร์

ใคร “เผด็จการ” และใคร”ประชาธิปไตย”?

ในเมื่อเลือกตั้งแล้ว ผลปรากฏว่าเผด็จการเดิมได้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย

อ้าว…อย่างนั้น ระเบิดมาจากพวกไหนล่ะ พวกอยู่ไม่เป็นสุข หรือพวกอยู่เป็นสุข?

ใครที่อ่านข่าวต่างประเทศ จะพบว่า ข่าวที่แต่ละสำนักรายงาน ไม่มีโทนไปในทางมองรัฐบาลประยุทธ์และไทย เสียชื่อ เสียเครดิต

เพราะ กรรม มันฟ้องเจตนาผู้กระทำ อยู่ในตัวมันเอง!

ทุกประเทศเขาเข้าใจ เกมตื้นๆ อย่างนี้ มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่า “พวกอยู่ไม่เป็นสุข” ทางการเมือง “ทำร้ายบ้านเมืองตัวเอง”

ข่าวในจีนถึงได้บอกเลยว่า……..

ประชุมกันอยู่ที่หนึ่ง แต่การทำให้เกิดเสียงที่เรียกระเบิดนั้น ไปซุกกันตามพงหญ้า-หน้าตึก อีกที่หนึ่ง

“ปอมเปโอ” คงร้องในใจ

“ถูกต้องแล้วที่สหรัฐฯประกาศรับรองความเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยของพลเอกประยุทธ์”!

เมื่อวาน ค้างตอน ๒ คำอภิปรายของรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในรัฐสภา ๒๕-๒๖ กค.เอาต่อ “ตอนจบ” เลยนะ

“หลายสิ่งที่กล่าวมาในฐานะที่รู้จักกับพวกท่าน บางคนเคยทำงานร่วมกัน ความคิดเห็นต่างเป็นไปได้ ไม่มีการโกรธเคืองกัน การเมืองเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าการเมืองดี ทุกอย่างดี ครั้งหนึ่ง ที่ผมเข้ามาในการเมือง คิดว่าทำการเมืองให้ดี ทำพรรคการเมืองให้ดี

เมื่อมีอันเป็นไปบางอย่างในช่วงเวลานั้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเมืองก็เปลี่ยนไป การเมืองไม่มี “คู่คิด” มีแต่ “คู่แค้น”

เป็นเหตุใช่ไหม ที่ทำประเทศเป็นอย่างนี้มาตลอด?

แต่วันนี้ มีกำลังใจ คนรุ่นใหม่หลายคน จากทุกพรรค ทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน “เด็กรุ่นใหม่” รู้จักเสนอแนะให้แนวความคิด เป็นสิ่งที่ดี

บางท่าน..จำได้ เป็นหลานของเพื่อนผมเอง พิธา หลานของผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ใช่ไหม สนิทกันมาก

ศิริกัญญา (พรรคอนาคตใหม่) ใช่ชื่อ “ไหม” หรือเปล่า ตรงนี้ใช่ไหม

เราไปแนะนำให้ BOI เปลี่ยนแปลงนโยบาย ผมเป็นคนแนะนำ “เลขาธิการอรรชกา” ว่าเราต้องเปลี่ยน BOI แล้ว ที่ผ่านมามีจุดอ่อนอยู่มาก ดังนั้น ต้องเปลี่ยนไปสู่จุดที่สร้างมูลค่าให้ได้ ทำให้ข้างล่างมีเงิน ข้างบนก็มีเงิน

ภาพที่ฉายออกมาไม่ผิด GDP โตในช่วง 4-5 ปี เป็นความจริง เมื่อมันดี ก็บอกว่ามันดี หลอกฝรั่งไม่ได้หรอก เขาตรวจสอบเราหนักมาก ในส่วนที่ยังไม่ดี

ผมก็รู้…พี่สมพงษ์ (หน.พรรคเพื่อไทย) ก็รู้ จะให้ดีได้อย่างไร ลำพังว่า “จำนำข้าว” ให้ราคาดีๆ ทีแรกให้ราคาหมื่นเศษๆ ต่อมาก็หมื่นห้า

ผมมองว่า ไม่เป็นไร ช่วยประทังชีวิตให้ชาวนา ให้มีรายได้ แต่ยิ่งทำอย่างนี้ โดยไม่ได้มาเปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมด ทำให้ขาดการพัฒนาภาคเกษตรอย่างรุนแรง

ขณะนี้ใช่ไหม ที่ทำให้ productivity ในการผลิตต่ำมาก สู้เวียดนามไม่ได้
เราฝันเห็นชุมชนที่เข้มแข็ง มีการใช้เครื่องจักรในการผลิต ทำ “อี-คอมเมิร์ซ” ขายต่างประเทศ

เมื่อเราทำให้ GDP ขึ้นมาแล้ว เราพยายามทำสู่อนาคต เราไม่ลืมรากหญ้า จึงพยายามปูทางต่างๆ เริ่มแล้ว
จึงอยากให้พวกท่าน “อยากให้สานต่อ” แต่อย่าเข้าใจผิด ว่าการเปลี่ยนทั้งหมดคือ ครม.แค่ 30 กว่าคนทำได้
เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องเปลี่ยนคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆ
เขาต้องเปลี่ยนพฤติกรรม เราก็เปลี่ยนพฤติกรรม ทุกคนต้องช่วยกัน โดยเฉพาะส.ส.จากทุกพรรค ถ้าหากมัวแต่หยิบ อันนี้เป็นความเหลื่อมล้ำ คนนี้จน คนนี้รวย คิดว่าสังคมดีขึ้นหรือเปล่า?

มันเป็นการเอาความเหลื่อมล้ำมาสร้างให้เกิดภัยการเมืองแห่งอนาคตข้างหน้า

“ผมไม่เคยบอกว่าปีนี้จะดี ลองไปฟังที่ผมสัมภาษณ์ บอกว่า “ปีนี้จะมีปัญหา”
นี่..ครึ่งปีไปแล้ว งบประมาณยังไม่เข้าเลย เศรษฐกิจโลกก็ไม่ดี มีคนเตือนผมว่า

“อาจารย์สมคิดอย่ากลับมาเลยตรงนี้ เพราะสุขภาพไม่ดี การเมืองก็ไม่ดี รุนแรงมาก เศรษฐกิจโลกยิ่งย่ำแย่ใหญ่”

ทีแรก ผมคิดอย่างนั้น และเรียนท่านนายกฯ แต่ผมก็คิดว่า เกิดมาถึงขนาดนี้ และสามารถสร้างคนใหม่ๆ ขึ้นมา เห็นแล้วภูมิใจว่า

“เราน่าจะทำให้การเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสัมฤทธิ์ผล”

ถ้าเราไม่อยู่ ไม่อดทน ต่างประเทศถามผมคำเดียว “นโยบายเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?”

เขากลัว ไม่มีอะไรง่ายเลย ผมตัดสินใจว่า “เห็นใจนายกฯ ช่วงเวลาอย่างนี้ อย่าให้เปลี่ยนแปลงมากเกินไป”

ฝ่ายค้านบอกว่า “การลงทุน” คำขอ “ไม่มีลงทุนจริง” ก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่าต้องเริ่มจาก “คำขอ” ใช่ไหม? และค่อยๆ ทะยอย ที่ทะยอยเอาเงินจริงลงมา ไม่ได้เกี่ยวรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน ไม่ได้เกี่ยวกับรัฐบาลเท่าไหร่ เขามองทีเดียว “มองทั้งประเทศ” มองเป็น political risk ความเสี่ยงทางการเมืองทั้งประเทศแล้ว “ความเสี่ยงทางการเมือง” ใครรับผิดชอบ ทั้งรัฐบาล, สภา, การเมืองนอกสภา เกี่ยวข้องทั้งนั้น

เรียน “ท่านสมพงษ์” ในฐานะที่เคารพรักกัน พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชาวบ้านได้ เพราะใกล้ชิดชาวบ้านมาก

ต้องช่วยกัน …..เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขา พยายามให้เขาอดทน สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ปลูกพืชหลายๆ อย่าง ทำโซนนิ่งเกษตร ร่วมกันทำเกษตรแปลงใหญ่
รัฐบาลพร้อมทำงานกับพรรคเพื่อไทย เพราะคุ้นเคยทั้งสิ้น

ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงมัน แล้วบอกว่า ทำไมลงทุนแบบนี้ ทำไมเขาไม่มา คนไทยเองไม่ลงทุน?

ผมใกล้ชิด “สภาอุตสาหกรรม” สภา “หอการค้า” มาก เขายังมีความไม่มั่นใจเรื่อง “ความเสี่ยงทางการเมือง”
แต่เราพยายามบอกเขาว่า ไม่มีอะไร นักการเมืองคุยกันได้

ถูกต้อง ที่เขาลงทุนนิดๆ หน่อยๆ การประเมินโดยต่างประเทศ ถึงบอกว่าธุรกิจของเขามีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากในการเพิ่ม productivity การลงทุนสิ่งใหม่ๆ เครื่องจักรใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ มีน้อยมาก
ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี productivity ไม่เพิ่มขึ้น แล้วจู่ๆ ขึ้นค่าแรง 300 บาท ทั้งที่ผลิตภาพการผลิตของไทยมันเรียบมานานแล้ว เพราะไม่มีการลงทุนสิ่งเหล่านี้ แล้วจะให้ขึ้นค่าแรงพรวดเดียวได้อย่างไร?

ตอนนั้นไม่เจ๊งหลากหลายเหรอ…ตอนนั้นก็เจ๊ง แต่เราไม่ blame เพราะอย่างน้อยๆ แรงงานได้เงินเดือนเพิ่ม และเราก็แก้กันมาพอสมควร
อนาคตข้างหน้า ถ้าจะมีการเพิ่มค่าแรง มันจำเป็น แต่ก็ต้องมีการพัฒนา skill แรงงาน เพราะทักษะของเขาในอดีตกับในอนาคตคนละเรื่อง

คนที่พัฒนา “ทักษะใหม่” ไม่ได้ ต้องหาอาชีพให้เขาในด้านบริการและการท่องเที่ยว เราถึงพยายามพัฒนาปฏิรูปการท่องเที่ยว

แล้วถ้าเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ไม่มีการสร้าง start up ต่างประเทศ ไม่ได้ขึ้นกับตระกูล “ไม่กี่ตระกูล” เหมือนเมืองไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ 50 บริษัทยักษ์ใหญ่

แต่บริษัทที่มีอิทธิพลมากจริงๆต่อเศรษฐกิจไทย มีไม่ถึง 10 บริษัท
แต่ประเทศอื่นสามารถให้ปัจเจกบุคคลทีละคนสามารถสร้างธุรกิจของเขาได้เอง ผ่านแพลตฟอร์ม ผ่านอินเตอร์เน็ต คิดว่าใน ครม.ไม่มีใครรู้เหรอ?

ทุกคนรู้……

แต่การทำให้เกิดเป็นความจริงได้ ไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆ ต้องช่วยกันผลักดัน
ผมเห็นใจน้องๆ ฝันเห็นประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ครั้งหนึ่ง ก็เคยเป็นแบบหนี้ แต่การทำให้เกิดเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ฝันมาทั้งนั้น เคยร่วมกับหัวหน้าพรรคแต่เดิมด้วยซ้ำ แต่เมื่อเข้ามาแล้ว หลายสิ่งหลายอย่าง อยู่เหนือการควบคุม ต้องพยายามทำให้ดี

ดังนั้น เราเปลี่ยนแปลงทุกอย่างขณะนี้

ขอเถอะ…เริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม อย่าพยายามบอกว่า อันนี้ก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี

เราอยากฟัง “อันนี้มีจุดบกพร่อง..ทำแบบนี้ได้ไหม ..ยางพาราแบบนี้ได้ไหม?”

รัฐบาลทำงานเยอะมาก คนร่วมทีมที่เป็นรัฐมนตรีโดนด่าทุกวัน เขาอดทน ความอดทนสำคัญมาก ฝากน้องๆ ว่า อุตตม (รมว.คลัง) สุวิทย์ (รมว. การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) ผมรู้จักมา 30 ปี เป็นลูกศิษย์ผม

การดึงคนมาทำงานการเมืองไม่ใช่ง่าย กอบศักดิ์ (รมต.ประจำสำนักนายกฯ ) บอกผม เขาอยากจะเลิก เพราะเห็นการเมืองไทยเป็นแบบนี้

ผมไม่อยากให้เขาเลิก ผมขอความกรุณา ผมเป็นคนไม่มีพรรค มีแต่พวก
ทีแรกบอกผม “สามมิตร” ผมไม่ใช่สามมิตร ผม “มวลหมู่มหามิตร” กับคนที่ต้องการทำงานเพื่อประเทศ

ผมไม่ชี้แจง เราเลิกพูดเรื่องตัวเลข เราไปคุยกัน มีอะไรไปนั่งคุยกัน มีอะไรให้ปรองดองกัน ร่วมมือกัน แม้ไม่ได้คุมกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด
เรารับรู้ความเป็นจริงว่า “นี่คือพรรคร่วมรัฐบาล” เราต้องให้เกียรติกัน แต่เราต้องหากลไกร่วมมือกัน เชื่อว่านักการเมืองทุกคน ต้องการให้ประเทศดีทั้งนั้น

เพียงแต่ที่ผ่านมา เราเอาชนะกันมากเกินไป คนอื่นเขายิ้ม แล้วไปด่า “เจ้าสัว” เขา

“คนรวย” เขารวยอยู่แล้วที่มีชื่อเหล่านี้ ธุรกิจเขาเกินกว่าเมืองไทยไปแล้ว เซ็นทรัล รวยขนาดนี้เพราะอะไร เพราะเข้าไปซื้อกิจการที่อิตาลี
ซีพี ไปถึงไหนแล้ว กลุ่มไทยเบฟฯไปถึงไหนแล้ว ไปไกลกว่าประเทศไทยมากแล้ว

แต่มีหน้าที่จะเอาเขามาทำงานให้คนจนได้อย่างไร? นโยบาย “ประชารัฐ” ที่ใช้ประชารัฐเพราะ ประเทศไทยต้อง 3 กลุ่ม “ประชาชน-เอกชน-ภาครัฐ” ต้องเอาเขาเข้ามาช่วย

พ่อไม่มาช่วย ลูกก็มาช่วย ท่านก็ว่าเขา ดัชนีหุ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 1,200 –1,300 จุด อย่างเก่ง ปัจจุบันนี้ 1,700 กว่าจุด เอาแค่ตัวเลขตัวนี้ X กับหุ้นที่เขามีในธุรกิจ แค่นี้เขาก็รวยแล้ว เขาต้องการอย่างเดียวคือ “การเมืองขอให้นิ่ง”

เราต้องจับเขามาช่วยคนจน เรื่องอะไรปล่อยให้อยู่บนสวรรค์อย่างเดียว
เอื้อคนรวย “ผมขอปฏิเสธ” ไม่มี และทุกโครงการที่เขามาต้องประมูลทั้งนั้น ถ้ามีตรงไหนไม่โปร่งใส แย้งเลย ตรวจสอบเลย ยินดีให้ความร่วมมือ
จบ…

“นอกเรื่อง” ไปตบตูดนิด
ใครทำร้ายบ้านเมืองไทย “ไม่ตายดี” ใกล้ถึง!



Written By
More from plew
ขออภัย “เว็บหงายท้องแหงแก๋”
ครับ………. ก็เป็นไปตามที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ คือตั้งแต่ช่วงสันตติกาลคืนวันที่ ๒๗ สืบต่อวันที่ ๒๘ กค.เว็บ plewseengern.com ไม่สามารถสนองตอบขาจร-ขาประจำที่เปิดเข้ามาดูข้อมูลข่าวสารได้ สัญญานชีพเว็บเพิ่งถูกปั๊มขึ้นมาตอนเช้าแก่ๆ นี่แหละ สอบถามไปทางคนดูแล...
Read More
0 replies on ““ร้าย” ประเทศไทยกลายเป็น “ดี””