นายกฯ ประชุม ศบค. ประเมินผลควบคุมโควิด19 ชื่นชมและขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมดำเนินการอย่างจริงจัง จนไทยได้รับการยกย่องจากทั่วโลก รวมทั้ง WHO

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชื่นชมการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทำให้ผลการดำเนินงานของไทยได้รับการยอมรับยกย่องจากทั่วโลก รวมทั้ง WHO และขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ร่วมดำเนินการอย่างจริงจังที่ประชุมฯได้นำเสนอผลการดำเนินการของแต่ละด้าน โดยกระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์ทั่วโลก สถิติวันที่27 เมษายน 63 มีผู้ป่วยเกือบ 3 ล้านคน ไทยอยู่อันดับที่ 58 ของโลกมีผู้ป่วยลดลงเหลือผู้ป่วยใหม่รายวันเป็นเลขตัวเดียววันนี้วันแรกตั้งแต่ตั้ง ศบค. รวมทั้งพัฒนาการตรวจหาการติดเชื้อ จำนวนคนที่ได้รับการตรวจ ใช้ระบบ active case finding ทำให้พบผู้ป่วยเร็วขึ้น และตรวจได้มากขึ้น ซึ่งจังหวัดที่ตรวจมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ แต่กระทรวงสาธารณสุขกระจายการตรวจให้ครอบคลุม โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ WHO เตือนว่าผู้ติดเชื้อ COVID-19 แล้วอาจติดเชื้อได้อีก จากการคาดการณ์ และประเมิน ถือว่าไทยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ควบคุมการระบาดได้ หากยังใช้มาตรการเข้มข้นต่อไป แต่สามารถอนุญาตให้ธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำเปิดดำเนินกิจการได้ ต้องมีแนวปฏิบัติ และการควบคุมที่ชัดเจน

การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ผ่านมา โดยเลขา สมช. สรุปสถานการณ์การปฏิบัติตามข้อสั่งการของ ผอ.ศบค. แต่เพื่อให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเห็นว่าอาจพิจารณาขยายต่อ พ.ร.ก. อีก 1 เดือน พิจารณาคงมาตรการสำคัญและจำเป็น โดยควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ขยายการห้ามอากาศยานบินเข้าสู่ประเทศไทยชั่วคราวอีก 1 เดือน งดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด โดยไม่มีเหตุจำเป็น ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน (curfew) ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. งดการดำเนินกิจกรรมที่มีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมาก ห้ามประชาชนเข้าไปในพื้นที่ หรือสถานที่ซึ่งมีคนจำนวนมาก งดการทำกิจกรรมร่วมกัน หรือประกอบกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ชั่วคราว

เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เสนอแนวทางผ่อนปรนหลังขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยคำนึงถึงหลักการพิจารณาสำคัญ คือปัจจัยด้านการสาธารณสุขเป็นหลัก วิธีดำเนินการให้พิจารณาจากประเภทของกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนด ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม และทุกคนต้องสวมหน้ากาก การวัดอุณหภูมิ การมีจุดบริการแอลกอฮอล์ การจำกัดคนให้เหมาะสมต่อกิจกรรมและสถานที่ จัดเจ้าหน้าที่ และ/หรือ ใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับภาคเอกชนพิจารณาแนวทางการผ่อนปรนข้อกำหนดและมาตรการสำหรับกลุ่มต่างๆ และจัดทำคู่มือสำหรับผู้ประกอบการ และประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจัดทำ Application ในการอำนวยความสะดวก และสำหรับประชาชนเพื่อให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานประกอบการว่าควรไปใช้บริการหรือไม่

คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชน โดยนายกลินท์ สารสิน ได้รายงานองค์ประกอบคณะทำงานจากภาคส่วนต่างๆ ว่าได้หารือและกำหนดแนวทางหลักเกณฑ์ของความพร้อมเปิดสถานที่โดยกำหนดตามปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ โดยได้เสนอจัดเป็นกลุ่มความเสี่ยงตามสี คือ ขาว เหลือง เขียว แดง จะจัดให้เปิดตามความพร้อม และปัจจัยองค์ประกอบ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดได้

นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมพิจารณาหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติ และให้นำเรื่องต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปอีก 1 เดือนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อ ซึ่งยังคงจำเป็นต่อการจำกัดการแพร่ระบาดโรค ส่วนการผ่อนคลายมาตรการต่างๆต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยศึกษาตามสถานการณ์ของไทยและต่างประเทศ มิติทางเศรษฐกิจ และผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยต้องพิจารณาเรื่องการควบคุมโรค ควบคุมการระบาดด้วย สำหรับกิจกรรมที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ากิจกรรมใดยังสามารถยังจัดกิจกรรมได้ โดยขอให้แต่ละภาคส่วนกำหนดมาตรการให้ชัดเจน และนายกรัฐมนตรีได้ให้หลักการว่า อยากให้ทุกจังหวัดเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด ที่สามารถปฏิบัติได้ เพื่อให้ประชาชนได้มีรายได้ แต่หากส่วนไหนที่ยังไม่พร้อมอาจจะพิจารณาเป็นกรณี สำหรับมาตรการ Work From Home ให้กำหนดเป็นมาตรการที่ยังดำเนินต่อไป

ด้านการศึกษาต้องให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 คือให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 แต่ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมรองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการเรียนการสอนของเยาวชน

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีไปตรวจเยี่ยมการดำเนินการที่ สนามบิน และสถานกักกัน โดยได้ให้กำลังใจทุกคนให้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ที่สนามบินคนไทยทุกคนดีใจที่ได้กลับบ้าน และมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานดูแล อำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับในทุกกระบวนการทำงานให้ เข้มงวด รวดเร็ว และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนให้การดูแลคนไทยที่ผ่านเข้ามาตามช่องทาง ต้องมีมาตรการแก้ปัญหา

แม้ว่าสถานการณ์ภาพรวมในประเทศจะดีขึ้น ซึ่งเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนทั้งประเทศ แต่ยังวางใจไม่ได้ สถานการณ์ทั่วโลกยังน่ากังวล ขอให้คงมาตรการการประชาสัมพันธ์ ทุกขั้นตอนการทำงานของรัฐบาลให้ประชาชนมั่นใจ ไว้ใจ ทั้งนี้ ผู้ที่หายป่วย ออกจากโรงพยาบาลไปพักผ่อนที่บ้านแล้ว ยังคงดำเนินการตามมาตรการอย่างต่อเนื่องด้วยความระมัดระวัง ตลอดจน การแจกของให้ผู้ขาดแคลน เป็นเรื่องที่คนมีน้ำใจอยากช่วยเหลือกัน แต่ต้องไปดูการจัดระเบียบตามมาตรการ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค

Written By
More from pp
“อนุทิน” เผย มีขบวนการหลอกเอาเงิน ผู้สมัครสอบบรรจุ ขรก.อปท. แลกได้บรรจุ เผย กำลังไล่ล่าตัวการ ย้ำ การจัดสอบต้องโปร่งใส ไร้โกง
26 ธันวาคม 2567 ที่กระทรวงมหาดไทย กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภาคีเครือข่ายการป้องกัน...
Read More
0 replies on “นายกฯ ประชุม ศบค. ประเมินผลควบคุมโควิด19 ชื่นชมและขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมดำเนินการอย่างจริงจัง จนไทยได้รับการยกย่องจากทั่วโลก รวมทั้ง WHO”