บนรถเมล์สายหายนะ

เรื่องจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศจีน ร่วมๆสามสิบกว่าปีมาแล้ว

…………..

ในช่วงสายๆ ของวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส รถเมล์คันขนาดกลางวิ่งอยู่บนถนนชนบท มีผู้โดยสารอยู่สิบกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย โชเฟอร์เป็นผู้หญิง อายุน่าจะประมาณสามสิบกว่า หน้าตาแลดูสะอาดสะอ้านดี

รถวิ่งไปเรื่อยๆ บนถนนที่แทบจะหารถคันอื่นไม่เจอเลย

ชายหนุ่มนั่งรอรถเมล์อยู่ริมถนน เมื่อเห็นรถเมล์คันนี้วิ่งมาแต่ไกล จึงรีบออกไปโบกรถยังกลางถนน เมื่อขึ้นรถเรียบร้อย ตอนจ่ายค่ารถให้โชเฟอร์ตรงบริเวณทางขึ้น เขาบอกเธอว่า “รอรถเกือบสองชั่วโมง” เธอยิ้มนิดๆ ก่อนบอกเขาว่า “เข้าไปหาที่นั่งเถอะ”

รถวิ่งไปเรื่อยๆ บนถนนที่เงียบเหงา สองข้างทางมีแต่ทุ่งหญ้าสลับกับเนินเขา

แล้วก็เห็นมีผู้ชายสองคนโบกรถตั้งแต่ไกล คนหนึ่งใส่เสื้อดำ ส่วนอีกคนใส่เสื้อขาวที่งอตัวเอามือกุมท้อง ท่าทางเหมือนคนไม่สบาย

เมื่อหนุ่มใหญ่ทั้งสองคนขึ้นรถ รถยังไม่ทันออก เธอถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ…..”

ยังพูดไม่ทันจบประโยค คนใส่เสื้อขาวก็ตะโกนบอกผู้โดยสารทุกคนด้วยเสียงดุดันว่า “นี่คือการปล้น มีเงินมีทองเอาออกมาให้หมด ใครตุกติกโดนเสียบแน่” พร้อมกับชูมีดเล่มเล็กในมือขึ้นขู่

โจรเสื้อดำถือย่ามเดินเข้าไปหาผู้โดยสารทีละคน ส่วนโจรเสื้อขาวยืนคุมเชิงอยู่บริเวณหน้ารถ ทุกคนหยิบเงินหยิบทองใส่ย่ามด้วยความหวาดกลัว

ลุงแก่ๆ คนหนึ่งไม่ยอมควักเงินออกมา
ร้อนถึงโจรเสื้อขาวต้องเข้าไปชกหน้าลุงไปหนึ่งหมัดจนเลือดกำเดาไหล และทำท่ากำลังจะชกต่อ โชเฟอร์หญิงรีบตะโกนห้ามไว้ “อย่าทำร้ายลุงเลย ลุงแก่แล้ว….ลุง มีเงินก็ให้เขาไปเหอะ เจ็บตัวฟรีไม่คุ้มหรอก” สุดท้ายลุงก็ต้องควักธนบัตรที่มีอยู่เพียงใบเดียวในตัวยื่นใส่ย่ามไป

โจรเสื้อขาวหันไปหาโชเฟอร์หญิง เธอจึงจำใจต้องหยิบเอาถุงเงินที่เป็นค่าโดยสารที่เก็บได้ทั้งหมดออกมายื่นให้ เขามองหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง

การกวาดทรัพย์สินจากผู้โดยสารเสร็จสิ้นลง โจรเสื้อดำถือย่ามเดินลงจากรถไปก่อน โจรเสื้อขาวใช้สายตาที่เหี้ยมเกรียมกวาดมองไปยังหน้าผู้โดยสารทุกคนอีกครั้งเป็นการข่มขวัญ ก่อนที่จะก้าวลงจากรถ เขาหันไปมองหน้าโชเฟอร์หญิงอีกครั้ง หยุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกระชากตัวเธอขึ้นจากที่นั่งคนขับ แล้วกึ่งลากกึ่งกระชากเธอลงจากรถ

เธอเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเอง รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ พร้อมขอร้องโจรอย่าทำอะไรเธอ

โจรเสื้อขาวลากเธอไปหลังพุ่มไม้ข้างทาง ลงมือกระชากเสื้อผ้าออก เธอพยายามขัดขืนต่อสู้ ร้องขอความช่วยเหลือ จนเธอต้องโดนตบหน้าไปฉาดใหญ่ ท้องถูกตุ๊ยอย่างแรง เธอหมดทางสู้ โจรเสื้อดำยืนดูอยู่ห่างๆ

บนรถที่ทุกคนยังนั่งตกตะลึงอยู่ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วหันไปถามทุกคนว่า “พวกเราจะนั่งเฉยไม่คิดจะลงไปช่วยเธอเลยเหรอ”

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากผู้โดยสารคนใดคนหนึ่ง มีชายค่อนไปทางสูงวัยทำท่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่เป็นหญิงเพียงคนเดียวบนรถ ดึงแขนเขาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น

เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าไม่มีใครยอมช่วย ก็ตัดสินใจลงจากรถไปคนเดียว แล้วชายหนุ่มก็พุ่งเข้าไปหาโจรเสื้อดำ การต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งคู่ล้มลุกคลุกคลานปล้ำกันอยู่บนพื้นหญ้า

ผู้คนบนรถมองดูเหตุการณ์นอกรถด้วยความสนใจ มีทั้งนั่ง มีทั้งยืน จะเลือกดูการข่มขืนหรือการชกต่อย เลือกดูได้ตามอำเภอใจ แต่ไม่มีใครคิดจะลงไปช่วย ทั้งๆ ที่โจรก็มีแค่สองคน แล้วมีแค่มีดเล่มเล็กๆ กันคนละเล่ม

การข่มขืนดำเนินต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง ได้ยินแต่เสียงร้องไห้พร้อมเสียงกรีดร้องของเธอ

การต่อสู้ก็ยังดำเนินอยู่ จนกระทั่งโจรเสื้อดำควักมีดออกมา แล้วแทงไปยังต้นขาของชายหนุ่ม การต่อสู้จึงได้ยุติลง ชายหนุ่มนอนแผ่อยู่กับพื้นหญ้าพร้อมรอยเลือด

เมื่อกำจัดชายหนุ่มเสร็จ โจรเสื้อดำก้มเก็บสัมภาระแล้ววิ่งนำหน้าผ่านทุ่งหญ้าลึกเข้าไปก่อน ส่วนโจรเสื้อขาวเมื่อเสร็จกามกิจแล้วก็วิ่งหนีตามไป

ผู้คนบนรถเมื่อเห็นเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ก็กลับไปนั่งที่กันทุกคน

โชเฟอร์หญิงลุกขึ้นยืน ก้มหน้าก้มตาจัดแจงเสื้อผ้าพอเข้าที่ แล้วเดินลากสังขารอันบอบช้ำ เนื้อตัวที่มอมแมมกลับไปที่รถ ทิ้งชายหนุ่มที่ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งไว้คนเดียว

เธอก้าวขึ้นรถด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองปนความเคืองแค้น ก่อนที่จะก้าวเข้าไปนั่งยังที่นั่งคนขับ เธอหันไปมองหน้าผู้โดยสารแบบไม่ได้ตั้งใจ เห็นทุกคนนั่งอยู่ในท่าทีที่เรียบเฉย ไร้ความรู้สึก ไร้ความสงสารหรือเห็นใจ เหมือนไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายใดๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา อารมณ์ความเคืองแค้น อารมณ์ความน้อยเนื้อต่ำใจ ปะทุขึ้นในหัวใจเธออย่างกระทันหัน เธอนั่งลง สองมือกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ก้มหน้าลงแล้วร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ

ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองตัวเดินมาถึงหน้าบันไดรถ เงยหน้าขึ้นมองโชเฟอร์หญิง ก่อนจะถามเธอด้วยเสียงที่แผ่วเบา “คุณปลอดภัยดีใช่ไหม…..ผมขอโทษที่ช่วยคุณไม่ได้” เธอใช้สายตาที่ยังปนความเคืองแค้นหันมามองหน้าเขาก่อนจะตะคอกบอกเขาว่า “คุณไม่ต้องขึ้นรถ”

“เอ้า ทำไมล่ะ…..เมื่อกี้ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ลงไปช่วยคุณนะ ทำไมกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ…..” ชายหนุ่มแย้งถาม

“เออ บอกว่าไม่ให้ขึ้นก็คือไม่ให้ขึ้น” ว่าแล้วเธอก็กดสวิตช์ปิดประตูรถที่เป็นบานพับลงทันที แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าของชายหนุ่มจากที่นั่ง เปิดหน้าต่างแล้วขว้างสัมภาระลงไปใส่เขา

รถวิ่งออกไปแล้ว ทิ้งชายหนุ่มไว้ข้างถนนเพียงคนเดียวด้วยความงุนงง

รถวิ่งไปเรื่อยๆ เมื่อถึงทางโค้งของถนน รถไม่ได้วิ่งไปตามช่วงโค้งของถนน แต่วิ่งแหกโค้งตรงออกไปข้างหน้า ที่ไม่ใช่ทางรถวิ่ง ไม่มีการแตะเบรค แต่ความเร็วถูกเพิ่มขึ้น แล้วโชเฟอร์หญิงก็นำรถทั้งคันพุ่งตรงสู่หน้าผาลอยละลิ่วตกลงสู่เหวลึก
***************

สังคมใดที่มีแต่คนเห็นแก่ตัว ยอมเห็นการเอารัดเอาเปรียบ การก่ออาชญากรรม หรือการโกงบ้านโกงเมืองที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแบบเฉยเมย ถือว่าธุระไม่ใช่ ขอแค่เรื่องนั้นๆ ไม่ได้มากระทบตนโดยตรงก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อน ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ หรือไม่เคยสนใจที่จะช่วยกันหยุดยั้งความชั่วร้ายเหล่านั้น สุดท้ายสังคมนั้นๆ จะไม่มีทางรอดจากความหายนะอย่างแน่นอน

Cr. “ขจรศักดิ์” เรียบเรียง
Credit: 短片四四号车

Bus 44 – Award-Winning Short Film เป็นหนังสั้นที่ได้รับรางวัลจากการประกวดหลายรายการ อาทิ
Special Jury Award – 2001 Venice Film Festival
Jury Honorable Mention – 2002 Sundance Film Festival
Directors’ Fortnight – 2002 Cannes Film Festival
Grand Jury Award – 2002 Florida Film Festival
Official Selection – 2003 New York Film Festival


Written By
More from pp
“ศ.ดร.นฤมล” ควง “ชวน ชูจันทร์” ลุยเขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน ชู “ป๊อป นิธิ” ทางเลือกพร้อมดูแลปชช.สานต่อตลิ่งชันโมเดลเน้นท่องเที่ยวชุมชน – ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย 360 องศา ดูแลสุขภาพให้ ปชช.เชิงรุก
9 พฤษภาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม. ร่วมกับ...
Read More
0 replies on “บนรถเมล์สายหายนะ”