สู่ยุค “ประเทศลอกคราบ”

นายกฯ ออกโทรทัศน์วานเย็น (๑๗ มิย.๖๓) เห็นแล้ว อดออกปากชมไม่ได้ว่า
มาดอย่างนี้แหละ ที่เขาเรียก “สุภาพบุรุษ” หนุ่มใหญ่

สมาร์ท เท่ ทรงภูมิ สุขุม นุ่มลึก
สาวน้อย-สาวใหญ่ เห็นแล้วกรี๊ด บอก สเป็กในฝันเลย!
แต่อย่าไปยุ่งกะท่าน
เพราะคนละแบบกับ “หนุ่มใหญ่ สปอร์ต กทม.” เครื่องติดช้าแล้ว ยังชักปืนช้าด้วย
ฟังเนื้อหาที่ท่านออกโทรทัศน์ เห็นเจตนาชัดว่า ต้องการพบปะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนโดยตรง

นอกจากเน้นย้ำความสำเร็จเรื่องโควิด ว่ามาจากความร่วมมือ-ร่วมใจของพี่น้องประชาชน ในความเป็น “ทีมประเทศไทย” แล้ว
ท่านย้ำ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศไปกับท่าน

ย้ำในย้ำ……….
ประเทศต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อก้าวไปข้างหน้า พี่น้องประชาชนกับตัวท่าน ต้องร่วมมือไปด้วยกัน
สรุปแล้ว หัวใจการทำงานของนายกฯ อยู่ที่ประชาชน
ส่วนใจประชาชน จะอยู่ที่นายกฯด้วยหรือไม่ ขนาดไหน?
“การเมือง” ใน “กาลเวลา” จะเป็นตัวพิสูจน์
ว่า “ใจสองใจ” นี้ บนเส้นทางขับเคี่ยวอนาคตชาติ ในทาง แยกหลากหลาย “จุดรวมใจ” สู่ทางร่วม เป็นถนนใหญ่
เมื่อไหร่ ตรงไหน…….
ใครล่ะ จะรู้ได้?!

รู้แต่ว่า วางใจจากโควิดได้ตอนไหน ตอนนั้น เราจะเห็นนายกฯ ออกตระเวณพื้นที่ ไปตามงาน ไปเยี่ยมทุกข์-สุข ชาวบ้าน มากกว่าอยู่ทำเนียบ
แสดงว่า รัฐบาลจะอยู่ยาวน่ะซี?

ใจนายกฯ คงอย่างนั้น เพราะงานเริ่มไว้ทั้งใหม่-ทั้งเก่าที่ต้องขับเคลื่อนให้เดินหน้า ยังมีอีกมาก ถ้ารัฐบาลสะดุดไป ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายโอกาส
พูดอย่างนี้ คล้ายว่า รัฐบาลจะไม่ครบเทอมน่ะซี?
เรื่องครบ มันไม่ครบอยู่แล้ว แต่ประเด็นมีว่า ในขณะที่รัฐบาลยังไม่ต้องการปรับครม.
แต่พรรครัฐบาลและพรรคร่วม ต่าง “ปรับพรรค” ตั้งท่า “เปลี่ยนตัว” รัฐมตรีกันหมดแล้ว

แบบนี้ นายกฯรับเชิญ จะบริหารปัญหาตรงนี้อย่างไร ในเมื่อเคยส่งสัญญาน “ยังไม่ปรับ” ถึงทุกพรรคร่วมก่อนหน้าแล้ว
เมื่อ “มือมาก” คือประชาธิปไตย “บีบ” อย่างนั้น
นายกฯ ไม่อยากปรับ ก็ต้องปรับ

อย่างพลังประชารัฐ เห็นว่าลงตัวกันแล้วที่ พลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค นายอนุชา นาคาศัย เลขาฯ พรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ ผอ.พรรค
รองหัวหน้าพรรค ๔ คน
-นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม
-นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม
-นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ
-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์

ส่วน นายอุตตม นายสนธิรัตน์ นายสุวิทย์ และนายกอบศักดิ์ ซึ่งอยู่ในทีมบริหารพรรคชุดเดิม
ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในพรรค พูดง่ายๆถูก “ทีมพลเอกประวิตร” ปฏิวัติ “ยึดเก้าอี้-ยึดอำนาจ” ไปทั้งหมด

แล้วเก้าอี้รัฐมนตรีคลังของนายอุตตม รัฐมนตรีพลังงานของนายสนธิรัตน์ รัฐมนตรีอุดมศึกษาฯ ของนายสุวิทย์ล่ะ? นายกฯ คงไม่มีทางเลือก …….
จะให้พ้นหมด หรือพ้นบางเก้าอี้ นั่นต้องดูปลายกรกฏา.-ต้นสิงหา. หลัง พรบ.งบประมาณประจำปี ๖๔ ผ่านสภาวาระแรกไปแล้ว

แต่ที่แน่ๆ ดูแล้ว เก้าอี้ “คลัง-พลังงาน” กลุ่มเพื่อไทยในชุดลายพรางสามมิตร ที่เข้าควบคุมอำนาจความเป็นพรรคแกนรัฐบาลไว้ได้ครั้งนี้
ไม่ปล่อยให้เหลือรอดแน่!

ดูทีมบริหาร พปชร.ระดับหัวแถว พลเอกประวิตร-สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา-สันติ
ไม่ผิดหรอก ถ้าจะว่า “ทีมทักษิณ” ชุบตัวเข้าเทคโอเวอร์ มีอำนาจเหนือรัฐบาลอีกครั้ง!
แล้วรองนายกฯ สมคิดล่ะ ยังอยู่หรือต้องไป?

เมื่ออุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์ไป ทีมเพื่อไทยลายพรางคงต้องแซะให้ไปด้วย ถึงไม่แซะ เมื่อกลุ่มอุตตมไป สมคิดก็คงไม่อยู่

ไปในที่นี้ หมายความว่า สมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์ เมื่อไม่มีตำแหน่ง ก็จะออกไปจากพรรคเลยอย่างนั้นหรือ?
อันนี้ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นนักเลงการเมือง ไม่ควรลาออกจากพรรค และถ้าผมเป็นนายกฯ จะให้ทั้ง ๔-๕ คนนั้นอยู่ เว้นแต่คนไหน “หน่าย-เบื่อ” ต้องการกรวดน้ำ-คว่ำขันทางการเมืองไปเลย นั่นอีกเรื่อง

ทำไมพลังประชารัฐจึงเป็นเช่นนี้?
กว้างๆ คือ ไม่แปลก การค้า มีกำไร-ขาดทุน, การเมืองระบบเลือกตั้ง ก็มีกำไร-ขาดทุน เพราะทั้งการค้า-การเมืองต้อง “ลงทุน” เหมือนๆกัน
มันเป็นเกมอย่างหนึ่ง เมื่อรักจะอยู่ เต็มใจ-ฝืนใจ ก็ต้องเป็นไปตามกติกาเกม
พลเอกประวิตรกระสันเป็นหัวหน้าพรรคหรือ?
ผมตอบแทนได้เลย……
ไม่!

แต่เมื่ออยู่ในเกม ทีมมันรวนพร้อมแตกได้ ก็จำต้องเข้าไปรับเป็น “ตัวกลาง”
ต้องเข้าใจอย่างหนึ่ง ระบบรัฐสภา ผิด, ถูก, ชั่ว, ดี,ใช่, ไม่ใช่, เอา,ไม่เอา,
“มือมาก” คือคำตอบ ไม่ใช่ศีลธรรม คุณธรรม มโนธรรม กฎบัตร-กฎหมาย อะไรทั้งสิ้น!

เพื่อให้รัฐบาลอยู่ ให้พลเอกประยุทธ์ ทำหน้าที่นายกฯอยู่ จนกว่าบรรลุเป้าหมาย ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-ประชาชน ศานติ ปลอดภัย
พี่ใหญ่จึงต้อง “เป็นหนังหน้าไฟ” เป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพ ท่ามกลางเสียงครหา ไม่เห็นด้วย

“ขัดตาทัพ” หมายความว่าไง?
หมายความว่า เปลี่ยนแปลง โดยปรับครม กรกฏา-สิงหา.นี้แล้ว ครั้งหนึ่ง
ธันวา.๖๓-มกรา.๖๔ ความน่าจะเป็นมีว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดอีกครั้ง!

ครั้งแรก ปรับครม.
ครั้งที่สอง ยุบสภา “เลือกตั้งใหม่” ในเมื่อรัฐบาลนี้บริหารมาครบครึ่งเทอม คือ ๒ ปี
“พลเอกประวิตร-พลเอกอนุพงษ์” พี่ใหญ่-พี่รอง ประสบการณ์เลือกตั้งมีแล้วจากครั้งแรก ๒ ปีในการนำประสบการณ์มาจัดทัพ-วางแผน อุดช่องว่าง-รูโหว่ เสริมจุดแข็ง
เมื่อยุบสภา น้องเล็กก็พีค เลือกตั้งรอบใหม่ ถ้ายังไม่กำชัยชนะ เป็นพรรคอันดับ ๑ เสนาธิการควรพิจารณาตัวเอง!

ส่งน้องเล็กขึ้นฝั่งอีกรอบแล้ว
ก็ถึงกาล เหมาะสม-ลงตัว ในที่ประชุมใหญ่พรรค จะเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ใครจะมาเข็นให้พลเอกประวิตรเป็นต่อ ท่านก็จะบอกว่า…ไม่รู้ ผมสุขภาพไม่ค่อยดี!
ถึงตอนนั้น ใครจะเป็นประมุขพลังประชารัฐคนที่ ๓?
ผมบอกให้ก็ได้……..

คำตอบอยู่ที่ ผลเลือกตั้งในกทม.!
สส.กทม.ทั้งหมด ๓๐ คน เลือกตั้ง ๒๔ มีนา.๖๒ พลังประชารัฐได้ ๑๒ สส.คะแนนรวมกทม. ๗๙๑,๘๙๓ คะแนน
นั่นคือ ๑๒ สส.เป็นเกณฑ์
ใครเป็นแม่ทัพเลือกตั้งกทม.ของพรรค ถ้ามีบารมีจูงใจให้คนกทม.ออกมาเลือกผู้สมัครพลังประชารัฐได้มากกว่า ๑๒ คนขึ้นไป
มีโอกาสได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. ต่อจากพลเอกประวิตรสูงมาก
ถ้าต่ำกว่า ๑๒ หรือแค่ ๑๒ ตรงนี้ หืด!
ทั้งหมดนี้ อย่าเข้าใจว่ารู้นอก-รู้ใน ทั้งหลายทั้งปวง ผมคาดการณ์คือ “เดาเอา” ๑๐๐%
และเดาจากสมการในพรรค คือถ้าไปเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่ได้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน-พลิกผันเป็นตัวแปร
แล้วมันจะมีมั้ย?
โอกาสแบบนั้นมี และ “อยากให้มี” เพราะผมดูแล้ว ไม่มีการลอกคราบประเทศใด ที่จะไม่พบ “ปัญหา-อุปสรรค” ในการเปลี่ยนแปลง

ครั้งนี้ เปลี่ยนดี ไม่ใช่เปลี่ยนร้าย คือ เปลี่ยนแปลงแล้ว บ้านเมืองจะดียิ่งขึ้น!
สรุปก็คือ……..
ตั้งแต่ตอนนี้ ถึงปี ๖๔ ประเทศเข้าสู่ช่วงลอกคราบ ไม่เพียงประเทศ เราทุกคน ควรปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับวิวัฒน์สังคมโลกด้วย
ฉะนั้น อย่าแปลก ที่เห็นพรรค ไม่ว่าค้าน-รัฐบาล มีการเปลี่ยนแปลงแทบทุกพรรคช่วงนี้
เปลี่ยนตัวเอง ก่อนถูกโลกเปลี่ยน ประมาณนั้น!



Written By
More from plew
เพราะรักท่าน-จึงป่าวร้อง – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน มนุษย์ทั้งโลก….. ต่างปรารถนาที่จะมี “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ด้วยกันทั้งนั้น! แล้วรูั้มั้ย? หลากหลาย “หนึ่งในแสน-ในล้านปรารถนา” นั้น …..
Read More
0 replies on “สู่ยุค “ประเทศลอกคราบ””