มรดก ๘๘ ปีคณะราษฎร

ผักกาดหอม

ชัดขึ้นเรื่อยๆ
จากที่เคยเป็นวันรำลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครองธรรมดาๆ
มา ๒๔ มิถุนายนปีนี้ มีเรื่องให้ถกเถียงมากกว่าปีก่อนๆ เพราะสังคมไทยยังคงขัดแย้งเป็น ๒ ขั้วเหมือนเดิม
ที่เปลี่ยนก็แค่ตัวละครใหม่
ไม่ได้เริ่มต้นขัดแย้งกันเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน
แต่ขัดแย้งกันมายาวนาน ๘๘ ปี
ต่างฝ่ายต่างเชื่อในชุดข้อมูลที่อยู่ในมือของตนเอง

และนับวันยิ่งเห็นต่าง เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ มากขึ้นเรื่อยๆ
อ่านโพสต์ในเฟซบุ๊กของ ดร.เสรี วงษ์มณฑา วานนี้ (๒๔ มิถุนายน) เหมือนเป็นการจุดเชื้อให้ต้องกลับมาทบทวนประวัติศาสตร์การเมือง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของประเทศไทย

….ตอนเด็กเรียนประวัติศาสตร์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ (เป็นการสอนให้ชื่นชมเหตุการณ์ปฏิวัติให้เกิดการเปลี่ยนแปลง)

โตมาติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองเกิดมุมมองใหม่ ได้เรียนรู้ว่าบางคนในกลุ่มคณะราษฎรจงใจให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ปล้นอำนาจจากพระมหากษัตริย์มาแก่งแย่งกันเองเป็นวังวนของการเมืองน้ำเน่ามาจนถึงปัจจุบัน

วันนี้กลุ่มที่โหน ๒๔๗๕ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยออกมาชุมนุมกันตั้งแต่เช้าตรู่ ท้าทาย พรก.ฉุกเฉิน ทำให้เรารู้แล้วว่า พวกเขาเรียกร้องให้ยกเลิก พรก. เพื่ออะไร มองแต่เป้าหมายของพวกตน ไม่สนใจปัญหาของโรคระบาด เลวจริงๆ…..
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ประเทศไทยในวันที่ไม่อาจหวนกลับไป ปกครองโดยระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีก

ต้องเดินหน้าสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น
และในเส้นทางที่สร้างกันมา ๘๘ ปี มีความขัดแย้งสองขั้วเสมอ

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ หรือเรียกว่าการอภิวัฒน์สยาม แค่เริ่มต้นก็สร้างความขัดแย้ง เคียดแค้นชิงชัง แล้ว
ดังเห็นได้จากเมื่อคณะราษฎรได้ตัวประกันคนสำคัญมาไว้ในมือหมดแล้ว จึงได้ออกประกาศว่า

“ด้วยบัดนี้ คณะราษฎรได้จับพระบรมวงษานุวงศ์มาไว้เป็นประกันแล้ว ถ้าผู้ใดขัดขวางคณะราษฎร ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษ และพระบรมวงษานุวงศ์จะต้องถูกทำร้ายด้วย”
ตอกย้ำด้วย ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑
—————-

….รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่
มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่

คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่
เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป….

….ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ
คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน
อย่าทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง
ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน

และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร
สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐ
ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า….
————–

แค่ข้ามปีเกิดการชิงอำนาจกันเองในหมู่คณะราษฎร!
รัฐประหาร ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
รัฐประหาร ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๖ นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
รัฐประหาร ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๑ คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม

รัฐประหาร ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๔ นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
รวมถึงกบฏวังหลวง ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๒ ระหว่างรัฐบาล กับฝ่ายพันธมิตรทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ ที่มีทหารเรือและอดีตสมาชิกร่วมขบวนการเสรีไทยหลายคน หวังยึดอำนาจการปกครองประเทศคืน
แต่สุดท้ายเพลี่ยงพล้ำ ส่งผลทำให้ปรีดี พนมยงค์ และพันธมิตรทางการเมืองหมดอำนาจโดยสิ้นเชิง และต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ

กลับกันถ้าเป็นฝ่ายชนะ วันนั้นฝั่ง ปรีดี พนมยงค์ ก็คือคณะรัฐประหาร หรือจะเรียกคณะอภิวัฒน์ ก็เอาตามสะดวก
นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ “ศรีอาริยะ” ยังไม่บังเกิดแก่ราษฎร เพราะมรดกการเมืองที่ คณะราษฎรสร้างไว้
มีการทำรัฐประหาร สลับรัฐบาลประชาธิปไตยโกงกิน

นี่คือ มรดกจากคณะราษฎร ฝั่งทหารและพลเรือน ๘๘ ปีที่ผ่านมา
รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนแปลงสยามขนานใหญ่ ในระดับที่เรียกว่าปฏิรูปประเทศ พัฒนาอย่างตะวันตก มีการเลิกทาส
รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง “ดุสิตธานี” เมืองจำลองรูปแบบระบอบประชาธิปไตย
มีการตั้งใจพัฒนาประชาธิปไตยไปอย่างช้าๆ เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ราษฎร
ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ จึงมีข้อกังขาในแง่ข้อเท็จจริงอยู่พอสมควร
และยังสามารถพิสูจน์ได้ในภายหลังว่า ปรากฏความชั่วร้ายแก่งแย่งอำนาจกันเอง ประชาชนมิได้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
หากมองไปอีกบทหนึ่งใน พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

….รัฐบาลได้ออกกฎหมายใช้วิธีปราบปรามบุคคลซึ่งถูกหาว่าทำความผิดทางการเมืองในทางที่ผิดยุตติธรรมของโลก คือไม่ให้โอกาสต่อสู้คดีในศาล
มีการชำระโดยคณะกรรมการอย่างลับไม่เปิดเผยซึ่งเป็นวิธีการที่ข้าพเจ้าไม่เคยใช้
ในเมื่ออำนาจอันสิทธิขาดยังอยู่ในมือของข้าพเจ้าเองและข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เลิกวิธีนี้…..รัฐบาลก็ไม่ยอม….

….ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร….
สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเหลว เพราะอำนาจไปตกในมือคณะบุคคล
และประชาชนเองไม่มีความพร้อม
จนมีเรื่องเล่าคนไทยเข้าใจว่า


“รัฐธรรมนูญ” คือชื่อลูกชายคนโตของ พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร
แม้จะมีข้อถกเถียงในภายหลังว่าแท้จริงแล้ว ประชาชนมีความพร้อม ฝ่ายที่ไม่พร้อมคือฝ่ายอนุรักษนิยมต่างหาก
แต่ยอมรับกันหรือไม่ว่า จนถึงทุกวันนี้ ประชาธิปไตยไทยไม่เคยมีความพร้อมเลย จากหลายๆ สาเหตุ และหนึ่งในนั้นคือ ทัศนคติของประชาชนต่อประชาธิปไตย
เกิดความไขว้เขวกระทั่งโจรปล้นประเทศยังอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
สงฆ์ทำผิดไม่ยอมมอบตัว ก็อ้างประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย
รวมไปถึง รัฐบาลเลือกตั้งโกง-ทหารยึดอำนาจ เป็นวงจร!

ครับ…เข้าบรรยากาศ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่นายกฯ ลุงตู่ ประกาศเช้าเย็น
แต่….มีคนไม่อยากสร้างดาวดวงเดียวกับลุงตู่ เขาอยากสร้างดาวอีกดวงด้วยมือตัวเอง เพราะเขามองว่า “ลุงตู่” คือจอมเผด็จการ
ฉะนั้น “รวมไทยสร้างชาติ” ไม่ใช่เรื่องง่าย หรืออาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะเรายังขัดแย้ง ๒ ขั้ว
และเราทุกคนคือมรดกจากคณะราษฎร.
ผักกาดหอม

Written By
More from pp
TOA จับมือ สัมมากร จัดกิจกรรมอาสาช่วยน้องทาสี รร.วัดเกิดการอุดม จ.ปทุมธานี
บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จับมือ บมจ.สัมมากร ครั้งแรก!! รวมพลังพนักงานจิตอาสาร่วมกันพัฒนาและปรับปรุงภูมิทัศน์ ทาสีรั้ว “โรงเรียนวัดเกิดการอุดม” อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
Read More
0 replies on “มรดก ๘๘ ปีคณะราษฎร”