“อาคม” ผู้มาคู่ “ช้างเอราวัณ”

ไม่มีอะไรลงตัวไปกว่านี้อีกแล้ว…..

เมื่อวาน (๕ ตค.๖๓) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำประกาศ
“นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ”
ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง”
สาธุ แปลว่า ดี ว่าประเสริฐ
นายกฯ ต้องดีใจมากแน่เลย ที่ได้คนสะอาดปานผงซักฟอก ละเอียดเหมือนเครื่องนับธนบัตร อย่างนายอาคมมาเป็นขุนคลัง
ที่สำคัญ ขุนคลังอาคมกับนายกฯ พูดภาษาชาวบ้านก็ต้องพูดว่า “บ้างาน” ชนิด “ไม่คิดถึงชีวิต” เหมือนๆ กัน เห็นชัดในสมัยรัฐบาล คสช.

ตอนนั้น นายอาคมเป็นรัฐมนตรีคมนาคม งานแรกที่รัฐบาล คสช. ปูรากฐานประเทศ คืองานปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม

ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทั้งที่ถูกหมกเป็นปัญหาทิ้งคาไว้ ทั้งที่เริ่มใหม่ สามารถพูดได้ว่า เป็นผู้ร่วมหักร้างถางพง “คมนาคมฐานราก” แห่งยุคสมัย ร่วมกับนายกฯ ก็ไม่ผิด

ทั้งหลาย-ทั้งปวง……
มันเกี่ยวพันทั้งระบบราชการ ทั้งคนจำนวนมาก ทั้งต้องใช้เวลา และงบประมาณจำนวนมหาศาล

ดูแล้ว มันงานยากกว่าหนุมานถมทะเลเป็นถนนไปกรุงลงกาซะอีก

แต่ภายใน ๓-๔ ปี นายอาคมสามารถสะสางงานเก่า ที่ทิ้งคามา ๒๐-๓๐ ปีไม่เสร็จ ให้เดินหน้างอกเงยได้

ไม่เพียงเท่านั้น……
ยังเริ่มรากฐานงานใหม่ๆ เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ท่าเรือ รถไฟฟ้าในกรุง-ต่างจังหวัด มอเตอร์เวย์ ควบคู่สอดรับกันไปเป็นแบบแผน ไม่สะเปะ-สะปะ สักแต่ว่าสร้าง

ชาวบ้านไม่ค่อยรู้ว่านี่ผลงานเพียรสร้าง-เพียรทำของนายอาคม เพราะท่านเป็นนักทำ ไม่ใช่นักพูดเอาหน้า
แต่ละโปรเจ็กต์ เป็นหมื่นๆ-แสนๆ ล้าน ไม่เคยมีข่าวเรื่องคอรัปชั่น จะมีก็แค่ความเห็นต่างด้านงานเท่านั้น

ท่านเป็นคนบ้านนอกเข้ากรุงอย่างเราๆ ลูกคนจีนที่ศรีสะเกษ ตระกูลจึง
แต่น่าจะคนละ “จึง” กับ “จึง” ของธนาธร!?

จบม.ต้น เข้ามาต่อม.ปลายในกรุง เมื่อจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ไปต่อโท ที่แมสซาชูเซตส์ สหรัฐ กลับเข้ามารับราชการที่ “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”(สภาพัฒน์ฯ)

งาน “สภาพัฒน์ฯ” ก็ตรงตามชื่อ
บางรัฐบาลใช้กรองงานจริงๆ บางรัฐบาล เรื่องไหนจะทำ ก็ทำเลย แต่เรื่องไหนไม่อยาก ด้วยลีลาการเมือง ก็อ้างว่า
“ให้สภาพัฒน์ฯพิจารณาก่อน” ความหมาย คือ โยนเข้าตู้เย็นสภาพัฒน์ฯ แช่แข็งไปเรื่อยๆ!

ด้วยสัตย์-สุจริต มุ่งใช้ความรู้ “พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมชาติ” เป็นที่ตั้ง นายอาคมก้าวหน้าถึงเก้าอี้ “เลขาฯ สภาพัฒน์” ซึ่งสูงสุดในองค์กร

ปี ๕๗ พลเอกประยุทธ์ เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ หลังยิ่งลักษณ์ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “พ้นสภาพนายกฯ” ด้วยความผิดเฉพาะตัว
กรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เบิกทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็นผบ.ตร.ซึ่งศาลฯ วินิจฉัย ว่า

“การย้ายนายถวิล เป็นการก้าวก่าย แทรกแซง แต่งตั้ง โยกย้าย เนื่องด้วยปรากฎข้อเท็จจริงว่า พล.ต.อ เพรียวพันธ์ เป็นพี่ชายคุณหญิง พจมาน เป็นเครือญาติของ นางสาวยิ่งลักษณ์

เชื่อได้ว่า การกระทำครั้งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อประเทศชาติ หรือประชาชน แต่เป็นการทำเพื่อพวกพ้อง เป็นการกระทำอันขาดคุณธรรม จริยธรรม”

ชีวิตนายอาคมเข้าสู่เส้นทางสายเปลี่ยนช่วงนี้ คือ เมื่อเข้าไปเป็น “สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ไม่นานก็ต้องลาออก
ไปเป็น “รัฐมนตรีช่วยคมนาคม” รัฐบาลคสช.เรียกว่า เป็นทั้งข้าราชการการเมือง ทั้งข้าราชการประจำ

ปี ๕๘ นายกฯ ปรับครม.ขึ้นว่าการคมนาคมเต็มตัว แทน “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง”
จนถึงปี ๖๒ เป็นรัฐบาลเลือกตั้ง……..

ใครๆ ก็อยากมี-อยากเป็น แต่นายอาคมไม่อยากมี-ไม่อยากเป็นอีก อยากอยู่สงบๆตามประสาพ่อหม้าย

จากโหมด “รัฐบาลเลือกตั้ง” ปี ๖๒ เรื่อยมา
งานคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน ยุค “ประยุทธ์-อาคม” ขับเคลื่อน ถึงตอนนี้ เขยื้อนขยับไปตามครรลองหรือยักเยื้องไปแบบไหน?

ลอง “ถอยหลัง” กลับไป และไล่เลียงดูกันหน่อยปะไร ว่ามีอะไรบ้าง?

ส่วนใหญ่ ผมเก็บข้อมูลจาก “ประชาชาติธุรกิจ” ที่เขาเคยเสนอเป็นข่าวไว้ เก็บๆ มาได้ประมาณนี้

รถไฟฟ้า “กทม.-ปริมณฑล”
ถึงปี ๖๕ ตามเป้าหมาย จะมีเส้นทางรวม ๔๖๔ กม.
ตอนนี้(ปี ๖๒-๖๓)เปิดใช้แล้ว และกำลังจะเปิด ก็มี
สายสีเขียว “แบริ่ง-สมุทรปราการ”
สายสีน้ำเงิน ช่วง “หัวลำโพง-บางแค, และช่วง “บางซื่อ-ท่าพระ”
สีเขียว “หมอชิต-คูคต”
สีแดง ช่วง “บางซื่อ-รังสิต” และ “บางซื่อ-ตลิ่งชัน”
โมโนเรล “กำลังสร้าง” ๒ สายแรก
สีชมพู “แคราย-มีนบุรี” และสีเหลือง “ลาดพร้าว-สำโรง”

ปี ๖๕ จะเปิด…..
สีแดง “ตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา” และสีแดง “รังสิต-ธรรมศาสตร์”

ปี ๖๖ จะเปิด….
สีส้ม “ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี” และสีน้ำเงิน “บางแค-พุทธมณฑล สาย ๔”

ปี ๖๗ จะเปิด….
สีส้ม “ศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน” และสีม่วง “เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ”

มีเพิ่มอีก ๓ โครงการย่อย ทั้งเร่งให้ครบ ๑๐ สายหลัก พร้อมส่วนต่อขยาย ๓ โครงการ
คือ “สีเขียว” ต่อขยาย “คูคต-ลำลูกกา” กับ “สมุทรปราการ-บางปู” และ “สีน้ำเงิน” ต่อขยาย “บางแค-พุทธมณฑล สาย ๔”

นอกจากนี้…..
นายอาคมยังได้ทำแผนแม่บท “รถไฟฟ้าระยะที่ ๒” เพิ่มระบบสายรอง ๓ สาย สีเทา, สีน้ำตาล, สีทอง เชื่อมสายหลัก
มี “สถานีกลางบางซื่อ” เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อรถไฟฟ้า ๕ สาย

และเร่งสร้างโมโนเรล ภูเก็ต, เชียงใหม่, ขอนแก่น และโคราช

มาดูด้าน “รถไฟทางคู่” บ้าง
ทำไปแล้ว ๑,๓๕๐ กม.ราวๆ ปี ๒๕๖๗ จะเพิ่มเป็น ๓,๕๑๔ กม.

ปีที่แล้ว เปิดใช้สาย “ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย” ๑๐๖ กม.และ “จิระ-ขอนแก่น” ๑๘๗ กม.

ปี ๖๔ จะเปิดสาย “นครปฐม-หัวหิน” ๑๖๙ กม.และ ” หัวหิน-ประจวบฯ” ๘๔ กม. “ประจวบฯ-ชุมพร” ๑๖๗ กม.

ปี ๖๕ จะเปิด “ลพบุรี-ปากน้ำโพ” ๑๔๘ กม. และ “มาบกะเบา-จิระ” ๑๓๒ กม.

ปี ๖๖ ผลักดันทางคู่ เฟส ๒ อีก ๙ เส้นทาง ๒,๑๖๔ กม.ให้ครม.อนุมัติ ก็ไม่ทราบว่าตอนนี้อนุมัติหรือยัง ตามแผนเดิม จะเริ่มสร้างแต่ปี ๖๒

ส่วนปี ๖๘ มีทางคู่ ๒ สายใหม่ จะเปิดใช้ตามที่นายอาคมวางไว้ มี “เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” และ “บ้านไผ่-นครพนม”

นอกจากสร้าง “รางคู่” แล้ว
ยังจะเอาหัวรถจักรเดิมจากระบบดีเซลไปใช้เส้นทางท่องเที่ยวแล้ว เปลี่ยนเอาหัวรถจักรใหม่ระบบไฟฟ้ามาแทน


ด้าน “รถไฟความเร็วสูง” ผลักดันการก่อสร้าง ๒ สายแรก คือ

“กทม.-นครราชสีมา” ๒๕๓ กม.โครงการร่วม “รัฐบาลไทย-จีน”
เส้นทางนี้ จะสร้างไปถึงหนองคาย เชื่อมรถไฟความเร็วสูงของจีน ที่กำลังสร้างฝั่งลาว ตามแผนจะเปิดปี ๗๐
และสายเชื่อม ๓ สนามบิน “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา” รองรับพื้นที่ EEC ๒๒๐ กม.

ส่วนสาย “กทม.-เชียงใหม่” ร่วมมือระหว่าง “ไทย-ญี่ปุ่น”
ตามแผนจะสร้างช่วง “กทม.-พิษณุโลก” ๓๘๐ กม.ก่อน ไม่ทราบเหมือนกันว่า “ครม.เลือกตั้ง” อนุมัติโครงการหรือยัง

ส่วน “กทม.-หัวหิน” ๒๑๑ กม.กำลังดำเนินการ PPP (การร่วมลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน) จะต่อขยายไปถึงสุราษฎร์ธานี

ยังไม่แค่นี้นะ แทบไม่น่าเชื่อ ว่าแค่ ๔ ปี นายอาคมจะผลักดันคมนาคมพื้นฐานไปได้มากมายถึงขนาดนี้
มี “มอเตอร์เวย์” อีกทั่วทิศ-ทั่วไทย

“ทางบก” เพิ่มโครงข่ายถนนเป็น door to door เชื่อมเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและอีอีซี
สร้างจุดพักรถบรรทุก ๓๔ แห่ง เปิดแล้ว ๒ แห่งที่ อ.โนนสูง โคราช
เปลี่ยนถนนลูกรังเป็นลาดยาง สร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เชียงของ
ขยายถนน ๔ ช่องจราจร ๑,๐๕๐ กม.สร้างสะพานเมยแห่งที่ ๒

สร้างมอเตอร์เวย์เพิ่ม ๓ สาย เชื่อมภาคอีสาน-ตะวันตก -ตะวันออก “บางปะอิน-นครราชสีมา” และ “บางใหญ่-กาญจนบุรี” และ “พัทยา-มาบตาพุด”

จะสร้างเพิ่มอีก ๓ สาย “นครปฐม-ชะอำ”
และ “หาดใหญ่-สะเดา” และ “กทม.-มหาชัย” ราวปลายปี ๖๕ คงได้ใช้!


เอา “ทางด่วน” บ้าง เดี๋ยวจะว่าคู่หูดูโอ้ “ประยุทธ์-อาคม” ไม่เจ๋งจริง

ก็มีทางด่วนขั้นที่ ๓ สายเหนือ ตอน N 2 เชื่อมวงแหวนตะวันออก และพระราม ๓-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอก จะ เปิดปี ๖๕ นี้แหละ

ทางบก-ทางรางแล้ว มาดูทางอากาศบ้าง ผลักดันไทยเป็น “ศูนย์กลางการบิน”
ปรับเสริมเติมศักยภาพสนามบิน ๑๗ แห่ง สร้างใหม่ที่เบตง ปลายปีนี้

สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส ๒ เปิดปี ๖๕ รองรับ ๖๐ ล้านคน/ปี

ดอนเมืองเฟส ๓ สร้างปี ๖๓ เปิดปี ๖๘ รองรับ ๔๐ ล้านคน/ปี

อู่ตะเภา รองรับ EEC เริ่มปี ๖๒ เสร็จปี ๖๖

จะมีศูนย์ซ่อมอากาศยานใหญ่ใกล้เคียงกับสิงคโปร์

สนามบินภูมิภาคปรับปรุง ๔ แห่ง จะเปิดปี ๖๓ ที่เบตง ขอนแก่น และกระบี่ ปี ๖๔ ที่แม่สอด

“ทางน้ำ” ก็มี ลงทุนในอีอีซี ๑ โครงการยักษ์ คือ
ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส ๓ เปิดปี ๖๘

โครงการอื่น เช่น เส้นทางท่องเที่ยววงแหวนอันดามันภูเก็ต พังงา กระบี่ เป็นต้น

เอาเท่านี้พอ นี่คืองานของนายอาคมสมัยเป็นขุนรถ-ขุนราง-ขุนน้ำ วันนี้กลับมานั่งเป็นขุนคลัง ทำงานร่วมกับนายกฯประยุทธ์อีก

กลับพร้อม “ช้างเอราวัณ” ที่หน้ากระทรวงคลังนั่นแหละ!



Written By
More from plew
ราคาที่ “พิธา” ต้องจ่าย – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน เมื่อวาน (๑๓ กค.๖๖) “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” (ปภ.) รายงานว่า เมื่อเวลา ๑๔.๑๘ น.
Read More
0 replies on ““อาคม” ผู้มาคู่ “ช้างเอราวัณ””