ในแผ่นดิน “รัชกาลที่ ๑๐”

 เปลว สีเงิน

เชื่ออะไรผมอย่างได้มั้ย?

คือผมจะบอกว่า…..
เห็นความ “ดิบ-กระแดะ-ด้าน” ของนักเรียน-นักศึกษาใต้ปฏิบัติการล้างสมองของสามสัสแล้ว
ไม่ต้องห่วงกันไปหรอกว่า เมื่อพวกนี้โตขึ้น จะเป็นผู้เข้ามากำหนดอนาคตประเทศ
น่าจะห่วงอนาคตพวกเขามากกว่า ว่าการกร่างก่อนวัยเป็น “รุ่นใหม่ไร้ราก” นั่นแหละ จะเป็นตัวกำหนด “อนาคต” พวกเขา
มันจะเป็นยังไง อยากรู้ใช่มั้ย ในเมื่อร่านเป็น “คณะราษฏร” กันนัก ก็ดูจาก “อนาคตไอดอล” พวกเขาเองก็ได้

“คณะราษฏร” ก่อการ ๒๔๗๕ นั่นแหละ
ก็ไปดูกันซี ว่ามีใครซักกี่คนที่ “อยู่รอด-ตายดี” และได้ตายในแผ่นดินไทย
ไล่ไปเลย ร้อยละ ๘๐-๙๐ “อยู่ร้าย-ตายอนาถ” แทบทั้งนั้น ไม่มีใครทำให้ตายนะ พวกกันเอง-ยำกันเองบ้าง กรรมตามทันบ้าง

ตั้งแต่คนแรกที่เป็น “ต้นคิด-ต้นแผน” ล้มกษัตริย์ สถาปนาระบอบประชาธิปไตยนั่นไปเลย

“พระยาทรงสุรเดช” ได้อำนาจแล้ว ไล่ล่ากันเอง ต้องหนีกระเซอะกระเซิง ไปเป็นผีไม่มีญาติในเขมร

“พระยาพหลพลพยุหเสนา” ที่ให้สมญาว่าเชษฐบุรุษประชาธิปไตย ถึงได้ตายในแผ่นดินก็เถอะ
แต่อาการก่อนตายของท่าน “ทอน-ปิยบุตร-พรรณิการ์” ผู้ประกาศตัวเป็นทายาท “ก่อการ ๒๔๗๕” น่าจะศึกษาไว้นะ

แค่เปิดวิกิพีเดีย ก็เจอแล้ว นี่ไง……
“ล้มป่วยลงด้วยโรคอัมพาตเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2488 เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก
แต่ด้วยความสามารถของนายแพทย์และด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง ท่านได้ต่อสู้โรคร้ายมาตลอดราว 2 ปีเศษ
จนเมื่อเวลา 21.40 น. ของคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2490 ได้เกิดอาการหายใจลึกและสะท้อน ชีพจรอ่อน พูดไม่ได้ มีเสมหะในลำคอมาก ม่านตาไม่ขยาย อาการทรุดลงตามลำดับ จนถึงเวลา 3.05 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 59 ปี 322 วัน

นายแพทย์พร้อมกันลงความเห็นว่าเส้นโลหิตในสมองได้แตกอีกเป็นครั้งที่ 2 จึงเป็นเหตุให้ถึงแก่อสัญกรรม……..”

อีกหลายต่อหลายท่าน ไปหาดูเอาเอง
รวมทั้ง “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” จนถึงแกนก่อการคนสุดท้าย “หลวงพิบูลสงคราม” ต้องฝังร่างอยู่นอกแผ่นดินทั้งนั้น

แผ่นดินไทยเป็น “แผ่นดินกษัตริย์สร้าง”
แต่ไม่เคยปรากฏว่า จะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ไหนเอ่ยพระโอษฐ์ว่า นี้…เป็นแผ่นดินของท่าน

วันนี้ กลับมีเมล็ดพันธุ์บรรพบุรุษเร่ร่อนมาศัยแผ่นดินซุกหัวบางคน สมคบนอกชาติ
ใช้ปฏิบัติการไซเบอร์ “ล้างสมอง” พวกนักเรียน-นักศึกษาบางพวก ให้เป็น “รุ่นใหม่-ซอมบี้” ออกมาตะโกน
ไล่ “พระมหากษัตริย์” ออกไป ……

บอกว่า แผ่นดินนี้เป็นของรุ่นพวกเขา รุ่นใหม่จะต้องเป็นผู้กำหนดอนาคตประเทศต่อจากนี้!?

เฮอะ…ลูกหลานไทย-สายเลือดไทย
ไม่เพียงบ้าใบ้ไหลหลงเนรคุณแผ่นดินชาติกำเนิดตัวเองแล้ว ยังบ่งบอกถึงความไร้คุณค่าในทางเป็นทรัพยากรบุคคลคนของชาติที่ต้องถนอมรักษาเลยจริงๆ

ไม่พูดด้านสำนึกมนุษย์ เอาแค่ “ยาง” ซึ่ง “คน” ต้องมีเหนือสัตว์ ก็ยังไม่มี แล้วจะปล่อยให้เป็นผู้กำหนดอนาคตประเทศได้อย่างนั้นหรือ?

ถ้าไปเกิดในแผ่นดินอื่น…อาจได้
แต่เกิดในแผ่นดินไทย ถ้ายังคิดและทำอย่างที่ทำขณะนี้ ไม่มีทาง

เพราะ ที่นี่ “แผ่นดินไทย”
คำว่า “แผ่นดินไทย” ไม่ต้องอธิบาย ถ้าเป็นคนไทย มันต้องรู้และสำนึกโดยสายเลือดอยู่แล้ว จึงไม่สายที่จะกลับตัว

ถ้าไม่เชื่อ……
ก็ไม่มีใครไปทำอะไรพวกเธอหรอก ถ้าฮึกเหิมตามนายไผ่ ดาวดิน ที่ออกจากเรือนจำ (๒๓ ตค.) ก็ทำห้าว กร้าวจะยำเมือง

นั่นแหละ พวกเธอจะทำพวกเธอเอง!
ไม่ได้เตือน ไม่ได้ขู่ ไม่ได้พูดด้วยปรารถนาดีใดๆ กับรุ่นใหม่ซอมบี้ เพียงอยากบอกจากประสบการณ์ว่า

มันมาถึงขั้นที่เขาต้อง “สั่งคนไปตาย” แล้ว
ไม่งั้นเขาจะเป็นฝ่าย end game ในปฏิบัติการ “ล้มเจ้า”!

ซึ่งจริงๆ end game คือปลายทางของสามสัสอยู่แล้ว เพียงแต่มันจะไม่เร็วนัก
แต่ปรากฏการณ์จากฟ้า นับจากนี้เป็นต้นไป…..

คำว่า “เหนือปาฏิหาริย์” ได้ยินแต่พูด ไม่เคยเห็นกันจะจะใช่มั้ย?
จะได้เห็นในแผ่นดิน “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๑๐ ด้วยพระมหาบารมีคุ้มประเทศ ปกเกล้า-ปกเกศพสกนิกรไทย จากนี้แหละ

ถึงได้บอก “แผ่นดินไทย” ใครสัตย์ซื่อ-ถือธรรม สุข เจริญจำรูญ คนอสัตย์ เยี่ยงอสรพิษ ได้ไออุ่นแล้วฉกกัด
ประเภทนี้ ใครไม่ต้องไปทำอะไร……..

วิบัติ ฉิบหาย มีอันเป็นไป “หนัก-เบา” ตามกรรม-ตามกาล ดังคำจากโอษฐ์พระพุทธองค์ยืนยัน ว่า

ยัง กัมมัง กริสสามิ เราจักทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง ปาปกัง ว่า ดีก็ตาม ว่า ชั่วก็ตาม
ตัสส ทายาโท ภวิสสามิ เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

เมื่อวันเกิดไทยโพสต์ ๒๑ ตุลา.
มีมิตรสหายทั้งสายอดีตเคยเป็นปฏิปักษ์กับบ้านเมืองและสายพิทักษ์บ้านเมืองมาดื่มน้ำปานะ “องุ่นหมักดอง” จนเกิดดีกรีด้วยกันตอนค่ำ
บอกว่า “เพิ่งกลับจากสกลนคร”
งาน “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี” เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร
แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ เขตภาคอีสาน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๐ ตุลา.๖๓

และเขาเล่าให้ฟัง นักศึกษาราชภัฏที่เข้ารับพระราชทานปริญญาจากพระหัตถ์ ตลอด ๕-๖ วัน นั้น เป็นพัน-เป็นหมื่น
ที่สร้างความปลาบปลื้มประทับใจ กล่าวขานกันอื้ออึงไม่คลาย ก็จาก “พระราชดำรัส” ในหลวง
แก่แกนนำคณะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใน ๕ จังหวัดภาคอีสาน

นครพนม, สกลนคร, มุกดาหาร, กาฬสินธุ์, อุดรธานี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชดำรัสที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงมีกับคณะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย พูดชัดๆ คือ “อดีตคอมมิวนิสต์” สมัยโน้น

ซึ่ง “สมเด็จพระบรมชนกนาถ” รัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทานความช่วยเหลือด้านต่างๆไว้ ตอนกลับมาร่วมพัฒนาชาติบ้านเมือง
ทุกวันนี้ ทุกคนยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง ดำรงชีวิตตามคำสอนพ่อ เป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นพลังให้ชาติบ้านเมือง

มิตรสหายที่มาเยี่ยมบอกผมว่า……
“พระราชดำรัสวันนั้น พระองค์ท่านตรัสประเสริฐล้ำ ทุกคนประทับใจมาก”

อันที่จริง ผมฟังจากข่าวพระราชสำนักคืนที่ ๑๕ ตุลา.ทีแล้ว และมีเสียงกล่าวขานว่า พระองค์ตรัสได้ประทับใจมากจริงๆ
มิตรสหายยังเล่าชนิดไม่คลายตื่นเต้นว่า วันต่อๆ มาของการพระราชทานปริญญาบัตร

นอกจากครอบครัวผู้รับปริญญาแล้ว ปรากฏว่า ชาวบ้านไม่รู้จากจังหวัดไหนต่อจังหวัดไหน
เป็นหมื่นๆ หลั่งไหลมาเฝ้ารับเสด็จฯ ชื่นชมพระบารมี ทั้ง ๒ พระองค์เนืองแน่น
ในหลวง นอกจากทรงให้ตั้งหน่วยแพทย์ตรวจรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยแล้ว ยังทรงให้ตั้งโรงครัวทำอาหารเลี้ยงนักศึกษาและครอบครัวนักศึกษาทั้งหมดด้วย

คนเล่า ยิ่งเล่า อาการตื่นเต้น ยิ่งออกจนเห็นชัด คือเขาเห็นประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จฯ เนืองแน่น และในหลวงทรงมีพระราชปฏิสันถารทั่วถึง
เป็นภาพแห่งความผูกพัน “กษัตริย์-ราษฏร์” ที่ปลาบปลื้ม ดื่มด่ำสุดประมาณ

จริงๆ ผมฟัง พลอยปีติซาบซ่านไปด้วย
ขอน้อมนำพระราชปฏิสันถารของในหลวงต่อคณะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยวันนั้นมาให้อ่านกัน ดังนี้ครับ

“เท่าที่ฟังมา ก็อยากจะพบ แล้วสมเด็จพระราชินีท่านก็เล่าให้ฟังว่า เคยเจอสหายต่างๆ ที่มีความสามารถ แล้วก็เดี๋ยวนี้ ก็เป็นกำลังของชาติ
น่าซาบซึ้ง น่าปลื้มใจ ที่ท่านทั้งหลายเป็นกำลังของชาติ

แล้วก็ท่านทั้งหลาย รักประเทศชาติบ้านเมือง รักประชาชน รักสถาบัน
ซึ่งเขาพูดไว้ว่า แม้แต่ตอนท่านหนุ่มๆ สาวๆ กัน ท่านก็รักประเทศชาติ รักประชาชนแล้วก็ถือว่า ได้แสดงความรักชาติ แต่ตอนนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองก็เป็นแบบนั้น

เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็ต้องเลือกทางในการรักชาติ ในการรักประชาชนรักชาวบ้าน รักบ้านเมืองก็ทำให้ท่านได้เข้าใจอะไรต่างๆ ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ท่านได้พระราชทานความรักพระราชทานความห่วงใยกับประชาชนมาตลอด

เพราะฉะนั้น เราก็ร่วมกันรักชาติ ร่วมกันรักประชาชน และทุกอย่างของท่านทำ ก็ถือว่าก็เป็นประสบการณ์ที่ดี แล้วก็พูดกันตรงๆ ว่า ท่านก็ได้ทำประโยชน์กับประเทศชาติ

ตอนนี้ ก็คงจะเข้าใจว่า บ้านเมืองต้องการคนรักชาติ ต้องการคนรักสถาบัน และก็ประสบการณ์ใดๆ ที่เคยได้ทำมา หรืองานที่ผ่านมา เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองได้

และก็สามารถ จะสอนเด็กๆ รุ่นใหม่ด้วยประสบการณ์ที่ตนเองได้มีมา เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ความจริงเราก็อยากเจอ ข้าพเจ้าก็อยากเจออยากพบอยากคุย และมีเวลามาก ก็อยากคุยอยากพบ อยากให้เล่าให้ฟังว่า ทำอะไรมาบ้าง ได้รำลึกความหลังกัน”
…………………..

กราบแทบเบื้องพระบาท น้อมรับพระราชดำรัสนี้คิดคำนึง
และไม่ว่า “รุ่นเก่า-รุ่นใหม่” จะรักชาติ รักสถาบัน หรือจะไม่รักก็ตาม อ่านแล้วคิดตาม

ต่อคำว่า “ประเทศชาติ-สถาบัน”….
ด้วยสายเลือดไทย “ตระหนักคิด” อาจผุดพรายขึ้นบ้างก็ได้.



Written By
More from plew
“เพื่อไทย” ไปทางไหนกัน? – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ให้มันได้ยังงี้ซี…. ไม่งั้นเสียยี่ห้อ “มือกฎหมาย” พรรคเพื่อไทยหมด! เรื่องการมี “รัฐธรรมนูญ” ฉบับใหม่ นั้น
Read More
0 replies on “ในแผ่นดิน “รัชกาลที่ ๑๐””