เมื่อ “นครบาล” ถอดรูป – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

เป็นกำลังใจให้นะ
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการนครบาล และ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย คนเป็นรองฯ
ตอนนี้ ผลงานท่าน “ได้ใจ” ประชาชน
นโยบาย “เข้มตัวการ-ผ่อนคลายตัวตาม” และแผน “แยกปลา-แยกน้ำ” ที่ท่านใช้รับมือขบวนการ “ล่มชาติ-ล้มสถาบัน”
กำลังเห็นผลเป็นรูปธรรม

รู้ว่าท่านและตำรวจนครบาลทุกนาย ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก แต่นั่น….
ยังไม่เท่าที่ต้อง “ทนอด-ทนกลั้น” ต่อการหยามเย้ย-ยั่วยุจากพวกม็อบสามสัส และขบวนการ’จานและโจร

เจตนาให้ตำรวจ “หลุด”….
แล้วไล่กระทืบ นั่นจะเป็นภาพสวยงามประกอบข่าว

“รัฐบาลไทยปราบปรามนักศึกษา-ประชาชนผู้เห็นต่างในวิถีประชาธิปไตย”

ด้วยกระบวนการสื่อสารครองโลกวันนี้ จะพรึ่บ “ฟ้องโลก-ฟ้องไอ้กัน” พ่อมันเป็นซีรีส์ๆ

แล้วพวกจานมหา’ลัย พวกเอ็นจีโอเครือข่ายที่จ้องรอรับลูกอยู่แล้ว
จะดาหน้าปูพรม “รัฐบาลใช้อำนาจเผด็จการ ปล้นสิทธิเสรีภาพนักศึกษา” ไปพรึ่บช่องทางสื่อสาร

อาวุธไม่ใช่ตัวชี้ขาด “แพ้-ชนะ” ในทุกสงคราม

การใช้การสื่อสาร “ชิงมวลชน” จะเป็นตัวชี้ขาด โดยไม่เกี่ยงว่า ข้อมูล-ข่าวสารนั้น “เท็จหรือจริง”

จะฝ่ายไหนก็ได้…
ชิงป้อนข้อมูลให้ถึงประชาชนได้ก่อน ฝ่ายนั้น เท่ากับได้ “ฝังความเชื่อ” ผ่านการรับรู้ไว้ใน “ชิพสมอง” ประมวลผลผู้คนสังคม

ตำรวจนั้น ชินกับอำนาจในมือและการลงมือ โดยมีคำว่า “ปฏิบัติตามหน้าที่” จนแกะไม่ออก
ไม่ใช่เฉพาะแต่ปัจจุบัน หากแต่ยาวนานคู่มากับคำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”

จึงเห็น ในทุกเหตุการณ์ของทุกสถานการณ์ ไม่ว่าผิดหรือถูก ตำรวจมีภาพเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาประชาชนตลอดกาล

นั่น เพราะอะไร?
เพราะด้วยอำนาจผู้รักษากฎหมาย แต่ไหน-แต่ไร ประชาชนเท่านั้น เป็นฝ่ายต้องตอบคำถามตำรวจ
ตำรวจอยู่เหนือผิด-ถูกที่จะต้องลดตัวไปตอบคำถามประชาชน!

เป็นวัฒนธรรมฝังทอด ระบบตำรวจ จึงไม่เห็นความสำคัญในรูปแบบการแถลง-แจงแจก ในหลักการ “ให้ข้อมูลข่าวสารประชาชน” มากนัก

จะให้ จะพูด ก็ต่อเมื่อจนตา ก็พูดแบบเสียไม่ได้ พูดแบบฝืดๆเฝือนๆ ถูกถามหนักเข้าก็ตัดบท

“เป็นความลับทางราชการ” บ้าง “เป็นประเด็นอยู่ในสำนวน” บ้าง
สมัยฟังวิทยุแร่ หรือถ่านไฟฉายเป็นกระบะ ทำได้ ไม่มีใครกล้าหือกับอำนาจรัฐ โดยเฉพาะตำรวจหรอก

เด็กเพิ่งเกิดร้องไห้ แค่ขู่ “เดี๋ยวตำรวจจับนะ” ยังหยุดร้องเลย
แต่สมัยนี้ “ยุคโลกาภิวัฒน์” มีคำจำกัดความว่า “สื่อสารครองโลก” ไปถึงขั้นดิจิทัล จะไปโลกพระอังคารอยู่รอมร่อ

ประชาชนไม่สนฟังรัฐพูดฝ่ายเดียวเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะคนทุกคนมีเครื่องมือสื่อสาร สามารถพูดตอบโต้ให้รัฐเป็นฝ่ายต้องฟังเขาด้วยเช่นกัน

สังเกตจะเห็นว่า ทุกวันนี้ ไม่เพียงระบบตำรวจ กับระบบราชการ กระทั่ง “ระบบรัฐบาล” เองก็เถอะ

อาจเข้าใจ แต่ยังเข้าไม่ถึงปรัชญา “สื่อสารสองทาง” ในมิติข่าวสารครองโลก จะวางความสำคัญด้านนี้อยู่ในอันดับท้ายตาราง
จึงไม่แปลกที่ “โฆษกรัฐบาล” ถูกด่าทุกยุค!

ยุคดิสรัปท์ ถึงระดับ ๕ จี ๖ จี ใช้เงินดิจิทัลแทนกระดาษ เปลี่ยนไทยเป็นประเทศนวัตกรรมอยู่แล้ว

แต่ข้อมูลข่าวสารที่ออกมา….
จะเป็นลักษณะ “ตามแก้ข่าว” มากกว่า “ให้ข่าวสาร” นำทิศประเทศและนำทางเรื่องราวนั้นๆ เป็นข้อมูลให้ชาวบ้านรู้ก่อน

ดังนั้น ในสงครามข่าวสาร “กวนเมือง” เพื่อการ “ชิงบ้าน-ชิงเมือง”
โจรจึงเป็นฝ่าย “ล้ำหน้ากว่า” ในระบบสื่อสาร

สมมติ ทั้งที่เป็นฝ่ายเผาเมือง เผาแล้ว รีบชิงแจ้งความก่อน โจรกลายเป็นโจทย์ในความรับรู้ของชาวบ้าน ผ่านทางข่าวสารที่มาก่อน

ฝ่ายรัฐ มัวแต่งุมมะงาหรา เอาแต่ธุระไม่ใช่ และคำว่า “ระเบียบทางราชการ” ไปแจ้งความทีหลัง ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย

แต่การกระดืบไปแจ้งทีหลัง จึงกลายเป็น “จำเลย” พูดอะไรไป ทั้งที่เป็นจริง แต่น้ำหนักอยู่ในสภาพ “คำแก้ตัว”!

ยิ่งกฎหมายไทย เป็นระบบกล่าวหา แจ้งก่อน-เป็นโจทย์ แจ้งทีหลัง-เป็นผู้ต้องหาด้วยแล้ว

ภาพที่ออกมา ฝ่ายโจร-ฝ่ายรัฐ จึง “คนละราคา” ในการรับรู้ “ก่อน-หลัง” ทางข่าวสาร

นี่คือ “ยุคการสื่อสาร” ที่ชิงการได้เปรียบ-เสียเปรียบ และชิงการแพ้-ชนะทางมวลชน กันที่ “ความเร็ว”
ไม่ใช่ที่ “ความจริง”!

“ความจริง” ต้องไปใช้ในกระบวนการยุติธรรมที่ศาล นาน แต่มีดุลถ่วง
ส่วน “ความเร็ว” สำหรับใช้ในกระบวนการ “ชิงมวลชน” ในยุทธการการ “ล่มประเทศ-ล้มสถาบัน” ซึ่งให้ค่า “ความจริง” เป็นอันดับรอง

พูดมาซะยาว ก็เพื่อบอกว่า สอง-สามวันนี้ นครบาลทำดี ทั้งด้านปฏิบัติการและด้านยุทธการ “ให้ข่าวสาร” ประชาชนทันท่วงที
เรียกว่า ไม่ปล่อยให้ “โจรตีกิน” ด้วยการปั่นข่าวสารเท็จป้อนประชาชน ชิงนำในระบบสื่อสารทั้งออนไลน์-ออฟไลน์!

อย่างกรณีเหตุการณ์ วางเพลิงหน้าคุกลาดยาว กรณี แก๊งโตโต้ปล้นชิงผู้ต้องหา กรณีชุมนุมเผาหน้าศาล ย่านรัชดา
พล.ต.ท.ภัคพงศ์และพล.ต.ต.ปิยะ ทำงานแบบมีกึ๋นและให้ค่าทางยุทธการข่าวสารผิดแต่ก่อนๆ

ปกติ แบบนี้ ตำรวจ “ผู้ถูกกระทำ” จะตกเป็นจำเลยให้ฝ่ายโจร
ทั้งที่โจรเป็น “ฝ่ายกระทำ” แท้ๆ แต่ชำนาญใช้สื่อสาร จึงปั่นข่าวฟอกตัว พลิกเป็นโจทย์ทางสังคม ในฐานะผู้เสียหาย

แต่ครั้งนี้ “นครบาลเก่ง”
แยกเรื่องสำนวนในทางคดี กับเรื่องยุทธการข่าวในทางมวลชน แล้วบริหารน้ำหนักได้ลงตัว

การ “ปั้นข่าว” ให้ตำรวจเป็นผู้ร้าย แล้วฝ่ายโจร ๓ นิ้ว เป็นพระเอก จึงแป้ก!
นครบาลไม่ยอมเป็นชายน้อย “ผู้ถูกกระทำ” คอยแก้ข่าวตามหลังอย่างเคย
ผบช.น.ภัคพงศ์ กับ รองฯปิยะ ยืนซด “ให้ข้อมูลสด” พากย์เหตุการณ์แต่ละช็อตคืนนั้น แจงแจกเหมือนรู้ใจประชาชน ว่าคลางแคลงตรงประเด็นไหน

ท่านก็ให้ความกระจ่างทุกๆ ช็อตไป จนข่าวปั้น ๓ นิ้วเป็นข่าว “เด็กเลี้ยงแกะ” ในสังคมโซเชียล

กระทั่งพวก’จานโจร ที่อาศัยคำว่า “ธรรมศาสตร์” เป็นยันต์พะหัวกระดาษออกแถลงการณ์ หวังให้คนคล้อยตาม
กลายเป็นแถลงการณ์ “ด้อยค่า” สถาบัน ที่แสนบัดซบ!

นครบาล “ตื่นแล้ว” ในเรื่อง “ข่าวสารกับมวลชน”

ขออาศัยศัพท์นักการเมืองใช้หน่อยว่า “มาถูกทางแล้ว” ที่นครบาลประยุกต์ “ยุทธการในถนน” เข้ากับ “ยุทธการข่าวสารทางมวชน” ใช้

พลิกจากเสียเปรียบตลอดกาล มาได้เปรียบในนัด “ชิงถ้วยดาร์บี้”
แบบนี้ ตุลา.ผู้บัญชาการนครบาลได้เกษียณแบบฝากลายให้จำแน่ ไม่ใจหาย-ใจคว่ำ เหมือนปีที่แล้ว

แต่อย่าเพิ่งวางใจนะท่าน…
ถึง “แกนนำ” เรียงคิวไปเป็น “แกนนอน” ในเรือนจำก็เหอะ
ไม่แน่ “แกนใน” ของพวกแกนนำ จะออกมา “นำเอง” ก็ได้

จะใช้ชื่อคณะอะไรดีล่ะ….
“สามสัส” จนตรอก ดีมั้ย?

Written By
More from plew
พรุ่งนี้ “ไม่เคยมีอยู่จริง”-เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน แลผาด “อุ๊งอิ๊ง” ว่าที่นายกฯหญิง “เพื่อไทยไปแล้วเมื่อวาน วันนี้มา “แลพิศ” กันบ้าง ต้องบอกว่า เที่ยวนี้ทักษิณเอาจริง จริงขนาดควักหัวใจคือเอาลูกสาวมาวางเป็นเดิมพัน
Read More
0 replies on “เมื่อ “นครบาล” ถอดรูป – เปลว สีเงิน”