ยิงนัดเดียวได้ทั้งประเทศ – ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ดูเป็นตัวอย่าง!

            ‘ผู้ว่าฯ อัศวิน’ พาตำรวจไปทำเนียบรัฐบาล ลงโทษปรับ ‘ลุงตู่’ ๖ พันบาทฐานไม่ใส่หน้ากาก

            ขนาดนายกฯ ยังโดน

            ใครคิดว่าตัวเองแน่ ก็เชิญ

            กรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นแผนประชาสัมพันธ์ หรือ “ลุงตู่”  พลาดเองก็ตามที เป็นผลดีต่อประเทศครับ เป็นการประกาศให้ประชาชนได้รับรู้ว่า คราวนี้เอาจริง

            ไม่ได้มาเล่นๆ

            ไม่ใส่หน้ากากอนามัย เป็นความผิดตามมาตรา ๕๑  แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.๒๕๕๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒ หมื่นบาท

            ใครที่คิดจะเอาแต่ด่า ลองอ่านรายละเอียดดูก่อน

            พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. พูดถึงการพาตำรวจไปปรับลุงตู่ถึงทำเนียบรัฐบาลมีไทม์ไลน์ตามนี้ครับ

                “….กรณี มีภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดหน้ากากอนามัยระหว่างการประชุมที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดหาและการกระจายวัคซีน เมื่อวันที่ ๒๖  เมษายน ๒๕๖๔ เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องประชุมสีเขียว ทำเนียบรัฐบาล นั้น

                หลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งมายังผม ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้ตรวจสอบว่ากรณีดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่

                ผมจึงได้แจ้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืน ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง ให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถาน หรือสถานที่พำนัก  เป็นความผิดตามมาตรา ๕๑ แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ  พ.ศ.๒๕๕๘

                ซึ่งความผิดดังกล่าว พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ ตามระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ศ.๒๕๖๓ โดยมีอัตราการเปรียบเทียบปรับตามบัญชีท้าย เป็นจำนวนเงิน ๖,๐๐๐ บาท

                ต่อมา ผม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต จึงเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้กล่าวหา ในฐานความผิดดังกล่าว

                นายกรัฐมนตรี ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ จึงได้ให้พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เปรียบเทียบปรับตามอัตราดังกล่าวครับ….”

            น่าจะถือเป็นมิติใหม่ทางการเมือง เมื่อนายกฯ รู้ว่าตัวเองทำผิดกฎหมาย ยอมรับผิด และยอมเปรียบเทียบปรับตามที่กฎหมายกำหนด

            ไม่แน่ใจว่าหากเหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนๆ จะมีใครยอมรับผิดและเสียค่าปรับบ้าง

            ก็อาจจะมีบางคนบอกว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เด็ดขาด เพราะคนอื่นใส่หน้ากาก ไม่เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำผิดเสียเอง

            ก็ว่ากันไปครับหลังหวยออก ฉลาดกันทั้งนั้น

            แต่ผลที่ออกมา ทุกคนหนาวๆ ร้อนๆ ไม่ใช่ไข้สูง ใครที่ไม่ใส่หน้ากากออกนอกบ้าน ถูกจับได้โดนแน่ๆ ไม่เกิน ๒  หมื่นบาท

            เตรียมเงินไว้เลย

            “ลุงตู่” ไม่ใช่ผู้นำประเทศรายแรกที่โดนปรับเพราะไม่สวมหน้ากากอนามัย

            เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปิเญรา ของชิลี เสียค่าปรับ ราว ๑๐๔,๔๑๒ บาท  หลังละเมิดมาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ เพื่อป้องกันโรคโควิด-๑๙

            วันที่ ๙ เมษายน ที่ผ่านมา ตำรวจนอร์เวย์ ปรับนายกรัฐมนตรีเออร์นา โซลเบิร์ก เป็นเงิน ๗๕,๔๐๐ บาท โทษฐานทำผิดกฎข้อบังคับเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันโควิด-๑๙ จากการจัดงานเลี้ยงวันเกิดพร้อมกับสมาชิกครอบครัวรวม ๑๓ คนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

            งานนี้จึงไม่ต่างเชือดสิงโตให้มดดู

            เป็นการประกาศว่ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์

            คนทำผิดไม่ว่าใครก็ตามไม่มีคำว่า “ยกเว้น”

            หลายคนด่ารัฐบาลว่า ทำไมต้องมาวุ่นวายเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชน ไปจัดการเรื่องอื่นดีกว่ามีปัญหาให้แก้ตั้งเยอะแยะ

            ที่จริงเรื่องนี้ตอบง่ายๆ เพราะคนไม่รับผิดชอบต่อส่วนรวมมันมีเยอะ

            คนเรียกร้องแต่สิทธิแต่ไม่รู้หน้าที่มันมีมหาศาล

            พูดง่ายๆ คนยุคนี้เห็นแก่ตัวมากขึ้น

            อย่างกรณีคลัสเตอร์ทองหล่อ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าประเทศยังอยู่ในช่วงการระบาดโควิด-๑๙ แต่คนเที่ยวผับ เที่ยวบาร์สักกี่คนที่ตระหนักว่า วันหนึ่งต้องพลาด

            แล้วมันก็พลาดจริงๆ

            จะมีสักกี่คนที่พลาดแล้วโทษตัวเอง

            นี่คือความรับผิดชอบต่อส่วนรวมที่ยังอยู่ในระดับต่ำมาก

            รัฐบาลถึงต้องเข้าไปวุ่นวาย เพราะนี่คือวิกฤติของประเทศ

            ฝ่ายการเมืองเอง โดยเฉพาะฝ่ายค้านแทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับยังเล่นการเมืองแบบไทยๆ รัฐบาลบอกทางขวา ฝ่ายค้านบอกกูจะไปซ้าย

            ทุกอย่างทุกเรื่องเป็นการเมืองไปหมด

            ต่างจากประเทศที่เจริญแล้ว ยามที่เกิดวิกฤติกับประเทศเขาจะไม่มีฝ่าย

            เพื่อไทย-ก้าวไกล ด่ารัฐบาลทุกวัน นำวิกฤติของประเทศมาหาประโยชน์ทางการเมืองไม่หยุดหย่อน

            ทำตัวผสมโรงช่วยขยายข่าวเท็จ เน้นโจมตีรัฐบาลทุกช่องทางที่มีโอกาส

            อยากให้ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต รัฐบาลไทยรักไทย โดยทักษิณ ชินวัตร ทำอะไรในช่วงที่ประเทศต้องเผชิญกับ “ไข้หวัดนก” ไว้บ้าง

            ช่วงปี ๒๕๔๖-๒๕๔๗ ที่ไข้หวัดนกระบาดมาสู่ประเทศไทย รัฐบาลทักษิณ ใช้วิธี “ปิดข่าว” ไม่ให้ประชาชนรู้ว่ามีไข้หวัดนกระบาด

            จนกระทั่งมีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นศพแรก รัฐบาลทักษิณถึงพยายามล้อมคอก

            ถึงขนาด “ทักษิณ” ต้องกินไก่โชว์

            ครั้งนั้นมีการปิดข่าวและบิดเบือนข่าวอย่างไร

            เกิดปรากฏการณ์ไก่ในพื้นที่ภาคกลางตายเป็นเบือ ไก่ไข่ ๑๐ ล้านตัว และไก่เนื้อกว่า ๓๐ ล้านตัว กรมปศุสัตว์กลับแถลงว่า “ไก่ตายเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง”

            รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่าง “สมศักดิ์  เทพสุทิน” อ้างว่าเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบ และโรคอหิวาต์ในไก่

            แล้วความจริงก็ปิดไม่มิด ๒๒ มกราคม ๒๕๔๗ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  ที่ปรึกษาด้านไวรัสขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูล เพราะผลการตรวจสอบเชื้อโรคระบาดในไก่ในระดับห้องปฏิบัติการ

            ชัดเจนว่าเป็น “เชื้อไข้หวัดนก”

            ๒๓ มกราคม ๒๕๔๗ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีสาธารณสุข ถึงได้แถลงข่าวยอมรับความจริง ว่า เกิดโรคไข้หวัดนกระบาดในไก่ของไทยและติดเชื้อไปสู่คน

            แต่ทักษิณยังพยายามกลบเกลื่อนว่า ไม่ได้ปกปิดข้อมูล แค่ไม่อยากให้ประชาชนแตกตื่น แถมยังบอกว่า  “ห้ามนกเป็ดน้ำมันบินมาจากเมืองจีนไม่ได้” “จะกางร่มไม่ให้นกบินเข้ามาทั้งประเทศคงทำไม่ได้”

            ครับ…นักการเมืองมันก็เป็นแบบนี้

            เมื่อไหร่ที่ไม่มีอำนาจฉลาดเป็นกรด รู้ทุกอย่างอะไรต้องแก้แบบไหน

            พอไปอยู่ในอำนาจ จะมีสักกี่คนยอมให้ตำรวจเข้าไปเปรียบเทียบปรับถึงทำเนียบรัฐบาล.

Written By
More from pp
ในหลวง ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวพระแก้วมรกต
28 พฤศจิกายน 2566 – เวลา 18.29 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง...
Read More
0 replies on “ยิงนัดเดียวได้ทั้งประเทศ – ผักกาดหอม”