ยุค “ประวัติศาสตร์เสี้ยม-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

คนรุ่นใหม่นี่ บางมุมผมก็ชื่นชมเขานะ
ตัวเขา-ชีวิตเขา
และเขานั่นแหละเป็นผู้กำหนดค่า
พวกเขาไม่ต่างโอปปาติกะทางความรู้สึกนึกคิด โตเอง-คิดเอง-ทำเอง ชีวิตจะให้บทเรียนชีวิตเขาเอง คนอื่นไม่ต้องยุ่ง
พ่อแม่ก็ไม่ต้องเสือก (ในความคิดรุ่นใหม่)
แค่ทำให้เขาเกิด โดยไม่ถามเขาก่อนซักคำ นั่นเป็นผิดที่รุ่นใหม่ยังฝังคิด….ผิดนี้ ที่พ่อแม่!?

หลายคน แน่ละ…พวกรุ่นชะแง้หลุม เราๆ นี่แหละ มองรุ่นใหม่ในฐานะ “ทายาทมรดกชาติและแผ่นดิน” แบบวิตกและปวดใจ

นี่ถ้าผมระลึกชาติได้ ก็อยากจะบอก
ตถตาน่ะ…ตถตา

ตอนเราเป็นวัยรุ่น ผู้หลัก-ผู้ใหญ่สมัยนั้น มองพิเรนพวกเรา เขาก็กลุ้มใจอย่างเดียวกับที่พวกเรากลุ้มอยู่ตอนนี้แหละ!
ที่เรียก “คนรุ่นใหม่” วันนี้….

มันก็ “พวกวัยรุ่น” สมัยก่อน ก่อนลงไปอีก ก็เรียก “พวกจิ๊กโก๋-จิ๊กกี๋-จิ๊กกะโล่”
ก่อนลงไปอีก ก็เรียก “พวกจิ้งเหลน” หรือ “พวกเด็กเหลือขอ” ที่แสบมากหน่อย ก็เติมสร้อยเป็น “ไอ้พวกจิ้งเหลนไฟ” นั่นแหละ!

ปัญหาวัยรุ่น เป็นปัญหาสังคมมาทุกยุค-ทุกสมัย แต่พอมันโตขึ้น ชีวิตต่างก็แยกย้ายกันไป
บ้างเฉาตีนตายก่อนได้โต บ้างเข้าไปเป็นไอ้ตีนโตอยู่บางขวางนิเวศน์ แต่ส่วนมาก เมื่อพ้นวัยรุ่น สู่วัยต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองและครอบครัว ก็จะได้คิด

โลกในชีวิตจริง จะให้กุญแจ ๒ ดอก
ดอกหนึ่ง “สัมมาสติ”
รู้ผิด-รู้ถูก,รู้ชอบ-ชั่ว-ดี มุ่งทางประกอบอาชีพการงานเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ เรียกว่ามนุสสภูโต คือ เป็นคนเต็มตัว

อีกดอกหนึ่ง “มิจฉาสติ” คือขาดสติรับรู้ในทางถูก ขวางศีล-ขวางธรรม นำชีวิตลงสู่ที่ต่ำ คืออบายสถานเดียว เรียกว่า “มนุสสติรัจฉาโน” คือมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน

ผมก็เห็นมามาก พอโตขึ้น ส่วนใหญ่ “สัมมาสติ” เป็นกุญแจทัดหูกันแทบทั้งนั้น
มีบ้างส่วนน้อย ดำดิ่งสู่บาดาลไปเป็นอาหารเต่าและปลาอยู่ก้นบึ้ง!

ถ้าเราใช้ประสบการณ์ประกอบการมอง “รุ่นใหม่สามนิ้ว” วันนี้ จะไม่วิตกทุกข์ร้อนนัก
วัยนี้ ช่วงนี้ เท่ากับช้างตกมัน ยิ่งห้าม มันยิ่งฮึก เหมือนลิง ขืนกระตุกโซ่ มันยิ่งตีลังกา ปลิ้นกล้วยหลอกอีกตะหาก

ปล่อยมันให้สุดปลายโซ่…
สุดท้าย มันจะเลือกทางอยู่-ทางไปของมัน ด้วยบุญทำ-กรรมแต่งไปเอง

ตอนนี้ ที่มันมีฤทธิ์ เพราะไอ้พวก ๖ ตุลา.ที่อออกจากป่ามาเป็นจานมหา’ลัย มันฝังแค้น ก็แปลงประวัติศาสตร์ช่วง ๑๔ ตุลา-๖ ตุลา.เอาจริงมายำเท็จ-เอาเท็จมายำจริง ไปสอนหลอกเด็ก

หนักไปทาง “ใส่ร้ายป้ายสีสถาบัน”….

ยิ่งขบวนการ CFR ผนึกระบอบทักษิณ ต้องการมีอำนาจเหนือไทยเพื่อใช้ประเทศเป็นยุทธภูมิต้านจีน

ได้จังหวะเปลี่ยนแผ่นดิน ก็ใช้พวกจานข้าวหมายุค ๖ ตุลา.ที่ขุนเลี้ยงไว้ เห็นหน้าแต่ละตัวอยู่ ปลุกรุ่นใหม่ในคราบนักศึกษาใช้เป็นเครื่องมือ
“ล้มสถาบัน”!

ตอนไม่ถูกจับ ไม่รู้มันเรียนกันตอนไหน?
แต่พอถูกจับ………
พวกจานบอก ห่วงเรียนไม่ทันบ้าง กำลังเรียนออนไลน์บ้าง กำลังจะสอบบ้าง

นักศึกษาสำออย พอน่ารัก แต่พวกจานสำออยศิษย์ มันน่า…ผมว่า ไม่ต้องสอบก็ได้ ส่งกระดาษเปล่า ก็ได้ A ทิพย์ ทุกวิชาแล้วมั้ง?

จะให้ดูตัวอย่างนักศึกษาหญิงรายหนึ่ง จะรู้ว่ามาตรฐานนักศึกษารุ่นใหม่วันนี้ สะท้อนมาตรฐานจานมหา’ลัยขนาดไหน?

จากคลิปสัมภาษณ์ผู้เข้าประกวดนางงาม ผู้ใช้นามว่า “ประชาชนไซเบอร์ V2” เขานำโพสต์เฟซ ผมจะถอดบทสัมภาษณ์มาให้อ่าน

ผู้ประกวด:สวัสดีค่ะ แบมบู “ปานรดา วงษ์หงส์” นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แบมเติบโตมากับการสั่งสอนมากมายผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวเราสมบูรณ์แบบ และแบมก็กลายเป็นเด็กที่เคยไม่มั่นใจในตัวเองมาก่อนค่ะ

แต่วันนี้ แบมรู้แล้วว่า สิ่งที่แบมเคยมองไม่ใช่ความจริง แบมเลยอยากให้ผู้หญิงทุกคนเป็นตัวเอง เพราะการเป็นตัวเองมีคุณค่าที่สุดค่ะ ขอบคุณค่ะ

กรรมการ:คีย์เวิร์ดค่ะ
ผู้ประกวด:มรดกโลกเป็นสิ่งที่สำคัญ และทุกๆ ประเทศอยากได้สิ่งนี้ค่ะ เพราะว่า ถ้าประเทศไหนนะคะ มีมรดกโลกเนี่ย
ในฐานะที่แบมเรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเนี่ย มันจะทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศนั้นค่ะ ขอบคุณค่ะ

กรรมการ:ขอทราบมรดกโลกซักแห่ง-สองแห่งในประเทศไทยค่ะ?

ผู้ประกวด:ปราสาทหินพนมรุ้งนะคะ อ้าาาา อันนี้แบมไม่ค่อยแน่ใจมากนะคะ

กรรมการ:แห่ง-สองแห่งได้นะคะ อันที่ ๑ แล้ว อันที่ ๒ ล่ะคะ มีมั้ย?

ผู้ประกวด:อาาา แบมขอตอบเป็นพระแก้วมรกตได้มั้ยคะ ที่…อ้า..ได้มาจากประเทศลาวน่ะค่ะ เพราะว่าแบม อ้าาาา ชอบไหว้พระ แล้วก็….อ่าาาา ขอโทษค่ะ
———————-

นี่คือรุ่นใหม่ นักศึกษาที่อ้างว่าเรียนด้านการท่องเที่ยวจากมหา’ลัยธรรมศาสตร์ และฉาดฉานบนเวที ว่าเติบโตมากับการสั่งสอนมากมายผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

แต่ไม่รู้ว่าปราสาทหินพนมรุ้งอยู่ในขั้นตอนไหนของการเป็นมรดกโลก

แต่คำตอบที่น่าตกใจมากที่สุด คือที่เธอตอบว่า “พระแก้วมรกต” ของไทย ได้มากจากประเทศลาว!

ใครคือครูบาอาจารย์สั่งสอนเธอที่ธรรมศาสตร์ จะแปลงประวัติศาสตร์ให้สองชาติหมางใจไปถึงไหนกัน หือ?

เธอบอก เติบโตมากับการสั่งสอนมากมายผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
แต่ “วิกิพีเดีย” เขาบันทึกไว้อย่างนี้นะ……

“พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” หรือ “พระแก้วมรกต” เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ใน”วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” (หรือ วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร

พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนเนไฟรต์สีเขียวดังมรกต
เป็นพระพุทธรูปสกุลศิลปะก่อนเชียงแสนถึงศิลปะเชียงแสน หลักฐานที่ตรงกันระบุว่า

พบครั้งแรก ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ ตำบลเวียง เมืองเชียงราย (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย) ในปี พ.ศ.1977 (หรือ ค.ศ. 1434)

ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร
ต่อมา ปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกระเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต จึงกระเทาะปูนออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์

หลังจากนั้น “พระเจ้าสามฝั่งแกน” แห่งเชียงใหม่ ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่
แต่ช้างทรงพระแก้วมรกต กลับไม่เดินทางไปยังเชียงใหม่ แต่ไปทางลำปาง

หากช้างนั้น มีพระแก้วมรกตอยู่บนหลังช้าง เชียงใหม่เห็นว่า ลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนา จึงนำไปไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า

ถึงสมัย “พระเจ้าติโลกราช” ได้เชิญพระแก้วมรกตมายังเชียงใหม่ สร้างปราสาทประดิษฐานไว้แต่ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง

ครั้นเมื่อ “พระเจ้าไชยเชษฐา” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นญาติกับราชวงศ์ล้านนามาครองเมืองเชียงใหม่
เมื่อ “พระเจ้าไชยเชษฐา” เสด็จกลับหลวงพระบาง ก็เชิญพระแก้วมรกตไปด้วย พร้อมกับ “พระพุทธสิหิงค์”

ทางเชียงใหม่ขอคืน ก็ได้แต่พระพุทธสิหิงค์ เมื่อล้านช้างย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาเวียงจันทน์ ก็เชิญพระแก้วมรกตลงมาด้วย

ต่อมา “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง

พระองค์ได้ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบาง มาจากอาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์ (ลาว) ในครั้งนั้น ประดิษฐานไว้ที่ “วัดอรุณราชวราราม”

ต่อมา เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ทรงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง

เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดิษฐานยัง “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” จนถึงปัจจุบัน
ส่วนพระบางได้คืนให้แก่หลวงพระบาง (ลาว)

ครับ…นี่ในวิกิพีเดีย

เกรงว่าการเติบโตกับการสั่งสอนทางโซเชียลมีเดียของคุณ “ปานรดา วงษ์หงส์” อาจหนักไปทางแฮชแท็ก

จึงเลอะเลือนไปว่าพระแก้วมรกตไทยได้มาจากลาว จึงนำมาย้้ำเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อไม่นำความเสื่อมเสียสู่สถาบันศึกษา

ก็ไม่เป็นไรนะ แม้ถลำในทางจานมหา’ลัยนำ
กุญแจ ๒ ดอก สำหรับรุ่นใหม่
เธอยังมีสิทธิ์ได้รับโอกาสนั้นน่ะ!



Written By
More from plew
“พญางูเห่าดูไบ” โผล่ใบ้หวย
นักข่าวนี่….ก็นะ น่าจะเปลี่ยน “ซิมสมอง” ซะมั่ง ทำเป็นหุ่นยนต์ “โปรแกรมสำเร็จรูป” ไปได้ อภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จปุ๊บ ต้องปรี่ถามนายกฯ ปั๊บ “ปรับครม.มั้ยค่ะ?”
Read More
0 replies on “ยุค “ประวัติศาสตร์เสี้ยม-เปลว สีเงิน”