ประเทศไทยเปิดแล้ว-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

วานนี้ (๑๕ ตุลาคม) แฟนหนังฮอลลีวูดกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
“รัสเซลล์ โครว์” ดาราเจ้าบทบาท เจ้าของรางวัลออสการ์ จากภาพยนตร์เรื่อง Gladiator ทวีตภาพบรรยากาศการเดินเล่นในกรุงเทพมหานครและภูเก็ตโชว์ให้แฟนคลับทั่วโลกเห็น
ตามข่าวบอกว่า…
รัสเซลล์ โครว์ อยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง  The Greatest Beer Run Ever ซึ่งใช้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในโลเกชันของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา

    หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากเรื่องจริงที่เขียนโดยโจแอนนา  มอลลี กับ จอห์น โดนาฮิว
เป็นเรื่องราวของมิตรภาพที่อยู่เหนือสงคราม ซึ่งอิงจากชีวิตของโดนาฮิวนั่นเอง

    ในปี ๒๕๑๐ เขาได้ล่องเรือจากนิวยอร์กมาเวียดนาม เพื่อตามหาเพื่อนในวัยเด็ก ที่รับใช้ชาติมาเป็นทหารในสงครามเวียดนาม
แผนการเดินทางอันน่าทึ่งคือ มาเพื่อมอบเบียร์และกำลังใจแก่เพื่อนๆ

    บางฉากของสงครามอยู่ในดินแดนของประเทศไทย
นั่นคือเรื่องราวคร่าวๆ ของภาพยนตร์เรื่อง The  Greatest Beer Run Ever

    ประเด็นที่น่าสนใจคือ “รัสเซลล์ โครว์” ขี่เครื่องบินมาลงที่ภูเก็ต กักตัวตามแผนภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย

    เห็นตัวตนที่แท้จริงภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หรือยังครับ
เกี่ยวกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ทีแรกก็มองภาพแค่ว่า เป็นแผนดึงนักท่องเที่ยวมาภูเก็ต

    เป็นโครงการใหม่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว

    เริ่มมาตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคมที่ผ่านมา
ก่อนที่ประเทศไทยจะกลับมาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ ๑ พฤศจิกายนตามที่นายกฯ ประกาศไปวันก่อน พร้อมมีเสียงกระแนะกระแหน ดูถูกดูแคลนตามมามากมาย

    สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมวันนี้คือ กองถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวูด ใช้ช่องทางภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เดินทางเข้าประเทศไทย
ต้องเข้าใจนะครับว่า “กองถ่าย” ไม่ได้มาคนเดียว

    แต่เป็นหลักร้อยชีวิต
และภูเก็ตกลายเป็นประตูสู่ประเทศไทย

    ถามว่าฝรั่งหัวแดงทั่วโลกเห็น “รัสเซลล์ โครว์” เดินดุ่มๆ ในประเทศไทย แล้วจะคิดยังไง
ประเทศไทยเปิดแล้วนี่หว่า!

    ฉะนั้นสิ่งที่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ดำเนินมา ในมุมกระตุ้นเศรษฐกิจถือว่าประสบความสำเร็จพอควร
ในมุมป้องกันการระบาดโควิด-๑๙ ก็ไม่ขี้เหร่ นักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ติดเชื้อต่ำมากและควบคุมได้

    ก่อนนี้ “น้องเทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ” นักกีฬาเทควันโด เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก ๒๐๒๐ พร้อมโค้ชเช  คณะนักกีฬา ก็เดินทางกลับไทยผ่าน “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”

    นี่คือการตะโกนบอกโลกว่า ประเทศไทยพร้อมต้อนรับทุกคนแล้ว
ก็สอดรับกับที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ร่วมกับเอกชน ดึง “ลิซ่า แบล็กพิงก์” หรือ “ลลิษา มโนบาล”  ศิลปินเคป๊อปชาวไทย และ “แอนเดรีย โบเซลลี” นักร้องโอเปราชื่อดังของโลกชาวอิตาลี มาร่วมกิจกรรมเคาต์ดาวน์ ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๕ ที่ประเทศไทย

    “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่ใช้งบ ๒๐๐ ล้านบาท

    “เอาจริงครับ มีการติดต่อประสานงานกับทางเอเจนซีของลิซ่าเรียบร้อยแล้วจะมาเคาต์ดาวน์ที่ภูเก็ต อีกท่านคือคุณแอนเดรีย น่าจะมาจัดที่กรุงเทพฯ นะ ดูดีที่สุดอาจจะขออนุญาตจาก กทม.ขอจัดที่สนามหลวงได้ไหม โดยมีฉากหลังเป็นวัดพระแก้ว”

    ก็ธรรมดาครับที่จะมีคนคัดค้านว่า นำเงิน ๒๐๐ ล้านบาทเอาไปแจกชาวบ้านที่เดือดร้อนจะเป็นประโยชน์กว่า
จ้างดารานักร้อง ๒๐๐ ล้านเงินละลายหายในพริบตา

    มีบางคนบอกว่าเอา ๒๐๐ ล้านไปปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวดีกว่า ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่ง แต่หากเราไม่ปรุงแต่งการเปิดประเทศให้โลกได้รับรู้ ก็เท่ากับว่าเสียโอกาส

    มันเป็นเรื่องวิธีคิด
ถ้าคิดว่านี่คือหนึ่งในวิธีติดเครื่องยนต์ฟื้นการท่องเที่ยวของประเทศ และทำสำเร็จก็ถือว่าคุ้มค่า ๒๐๐ ล้านไม่ใช่เงินที่มากมายเลย เพราะเรากำลังพูดถึงผลลัพธ์ที่มีเม็ดเงิน หมื่นล้านแสนล้าน

    อย่าลืมนะครับโลกยุคใหม่ เราต้องสื่อสารในภาษาที่โลกเขาสื่อสารกัน
และ “ลิซ่า” คือสิ่งนั้น

    มีดารา คนเคลื่อนไหวทางการเมือง หลายคนมองเจตนาภาพรวมที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ในแง่มุมที่หลากหลาย บางคนราวกับพวกชังชาติ บางคนอยากให้ประเทศดีขึ้น
ดูสักสองสามตัวอย่างครับ

    ตัวอย่างแรก
เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ ทวีตในทวิตเตอร์  Petchkaroonpon@petchy66

    “….ถ้าต้องไปเที่ยวประเทศที่มีผู้ติดเชื้อหลักหมื่นต่อวัน คนตายหลักร้อย ฉีดวัคซีนครบไม่ถึง ๕๐% แถมมีเคอร์ฟิวและ  พรก.ฉุกเฉินที่บริษัทประกันไม่ครอบคลุมหากเกิดอะไรขึ้น ผับบาร์สถานที่ช็อปปิ้งปิดไปเกินครึ่งและยังมีน้ำท่วมเกือบทุกภาค คุณยังอยากไปเที่ยวกันอยู่มั้ยครับ”

    “จะจ้างศิลปินระดับโลกอีกกี่คนมันก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยน่ามาท่องเที่ยวถ้ายังไม่มีวัคซีนดีๆ ฉีดให้ประชาชนอย่างทั่วถึงรวมถึงยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน จะให้นักท่องเที่ยวมาเสี่ยงติดโรคและโดนจับเพราะฝ่าฝืนเคอร์ฟิวเหรอครับ #ผนงรจตกม”

    อีกตัวอย่าง โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา-Nuttaa Mahattana
“ไอเดียนำลิซ่ามาเมืองไทยเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว ถ้าคิดเป็นมูลค่าโฆษณา คุ้มมากค่ะ

    ปกติหน่วยงานการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ จะมีงบประชาสัมพันธ์ แล้วก็เอาไปถ่ายทำซื้อพื้นที่โฆษณาออกช่องโทรทัศน์ต่างประเทศบ้างอยู่แล้ว

    เงินจำนวนเท่ากันเทียบกับการจ้างลิซ่าแล้วเกิด PR  values จากสื่อที่ติดตามลิซ่าและแฟนคลับที่จะต่อยอดไปอีกมหาศาล ย่อมคุ้มกว่าโฆษณารูปแบบอื่นมากอยู่แล้ว

    แต่จะปั่นขึ้นไปได้ระดับไหนอยู่ที่การออกแบบโปรแกรม  เช่นถ้าดีลให้ลิซ่าทำ vlog ไปลงใน YouTube channel ของตัวเองได้ด้วย จะยิ่งได้ผลไปอีกไกล ซึ่งตรงนี้น่าจะเจรจาได้

    ปกติบางทีไปเที่ยวไหนนานๆ ที่เขาก็ทำอยู่แล้ว และมันจะได้ผลระยะยาว ไม่ใช่แค่ฤดูท่องเที่ยวปีนี้
หัวใจจึงอยู่ที่จะดีลมาได้ไหมในเวลาที่เหลือแค่นี้ และการดีลกับ YG ก็ยากมากๆ ด้วย

    ถ้าได้มาจริงๆ ก็อยู่ที่การออกแบบแคมเปญทั้งหมดจะเก็บได้แค่ไหน
(ในแง่ branding ประเทศ จะมีอีกหลายส่วนได้อานิสงส์ไปด้วยนอกจากการท่องเที่ยว อย่างตอนนี้แม้ยังไม่ได้จ้าง ตัว  MV Lalisa เองก็ทำให้แฟชั่นแบรนด์ไทยได้รับความสนใจลงสกู๊ปสื่อระดับท็อปทั่วโลกไปมากแล้ว)

    งานนี้ถ้าทำได้จริงๆ ไม่มีเสีย มีแต่จะคุ้มเฉยๆ หรือคุ้มสุดๆ เท่านั้น ปกติลิซ่าเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณามือถือ เสื้อผ้า  เครื่องเขียน คนจ้างยังคิดว่าคุ้ม

    ดังนั้น ‘Devil is in the details.’ หมายความว่าจะปังหรือจะพังอยู่ที่การออกแบบรายละเอียดจริงๆ และถ้าไม่ทันคราวนี้อย่าฝืน ยังมีโอกาสในอนาคต

    ต้องมองว่านี่เป็นแผนประชาสัมพันธ์แบรนด์ไทยแลนด์  ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวไทย และเป็นเรื่องเพื่อผลระยะยาว ไม่ใช่แค่งานเคาต์ดาวน์ค่ะ”

    เห็นมั้ยครับว่าการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์สามารถเกิดขึ้นได้
ที่น่าชื่นชมคือ “โบว์ ณัฏฐา” มีข้อเสนอแนะที่น่ารับฟัง เพราะมีประโยชน์กับประเทศโดยรวม

    ผมเห็นด้วยว่าแผนประชาสัมพันธ์ต้องทำในระยะยาว ไม่ใช่จบงานนี้ก็จบกัน

    สำหรับคนที่เอาแต่ค้านทุกเรื่อง เช่นกรณีของ เพชร-กรุณพล นั้น ก็น่าเห็นใจครับ เพราะน่าจะมีปัญหาเรื่องสติปัญญาอยู่พอสมควร

    เวลามีข้อมูลข่าวสารออกมาจากรัฐบาลนั้นก็ควรจะฟังบ้าง เขาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเต็มรูปแบบในวันที่ ๑ พฤศจิกายน

    โดยสามัญสำนึกเปิดประเทศไม่มีใครเปิดภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่แล้ว เพราะตอนประกาศมันไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง  แต่เป็นเรื่องของการบริหารจัดการการระบาดของโควิด-๑๙

    เมื่อยกเลิกก็เพราะเหตุผลจากโควิด-๑๙ ไม่ใช่ทุกเรื่องเหมาเป็นการเมืองหมด
เขาถึงได้ด่าว่าพวกชังชาติไง



0 replies on “ประเทศไทยเปิดแล้ว-ผักกาดหอม”