นี่ไง “นักวิชาการ” หลอกเด็ก

“นายกฯ ประยุทธ์”………

เป็นคนประเภทฮิตาชิ “เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ”

จึงพูดกันว่า ท่านเป็นคนใจร้อน
ความจริงไม่ใช่

การสนองตอบฉับพลัน สะท้อนถึงความเป็นคนจริงใจต่อการ “คิด-พูด-ทำ” อันเป็นบุคลิก “คนตรง”

ความจริงใจของคนตรง จะปรากฏในรูปความเชื่อมั่นต่อความตั้งใจทำของตัวเอง

ฉะนั้น……..ถ้าสิ่งตั้งใจทำ ได้รับการตอบสนองจากผู้อื่นด้วยทัศนคติลบ

สัญชาติญานแห่งความเสียใจจะถะถั่งมาก่อนสติแรงมาก

อันนี้เป็นธรรมดา

อย่างที่ว่า รักมาก ก็ช้ำมาก, รักน้อย ก็ช้ำน้อย!

แต่พักเดียวแหละ พอตัวปรี๊ดหายไป ตัวสติก็มา ทุกอย่างจะเข้าที่ ชนิดไม่มีกากอารมณ์ตกค้างคาใจ

อารมณ์มาก่อนสตินี่…..

ในหมู่คนนิยมฝึกจิตด้วยวิปัสสนาฝรั่งเรียก meditation จะเข้าใจ เพราะมันเป็นพื้นอารมณ์ของจิตก่อนฝึก

ดังนั้น ทุกคนจึงพยายามฝึก เพื่อผ่านด่านนี้ไปสู่จุด “สติรู้ทัน” คือให้สติกำกับ-ควบคุมอารมณ์ขณะ “คิด-พูด-ทำ” ให้ได้

นายกฯ ประยุทธ์เป็นพุทธมามกะ ……..

คือผู้ประกาศตนนับถือพระพุทธศาสนา มีโอกาสตอนไหน ก็เห็นท่านกับภริยาไปวัดประจำ

ก็อยากให้ท่านแวะไปขอกรรมฐานกับ “พระศากยวงศ์วิสุทธิ์” (อนิลมาน ธัมมสากิโย) ที่วัดบวรนิเวศฯ

วัดอยู่ไม่ไกลทำเนียบหรอก!

ยิ่งยกกันไปทั้งครม.เพื่อขอกรรมฐานฝึกจิต ยิ่งดีใหญ่ จะได้เป็นตัวอย่างประเสิรฐ มีผลานิสงส์ต่อบ้านเมืองมหาศาล

ที่ยกมาคุย ก็ไม่ใช่อะไร ……..
ดูข่าวเมื่อวาน (๒๔ ธค.) เห็นท่านกลับเป็น “นายกฯลุงตู่” คนเดิมแล้ว หลังปรี๊ดแตกวานซืน

ท่านเป็นพระยาน้อยชมตลาดหน่วยงานต่างๆ ที่มาจัดกิจกรรมหน้าทำเนียบวันประชุมครม.ด้วยอารมณ์แจ่มใส

เห็นสาวมุสลิม สสส.ที่ “ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์” ผู้จัดการ ยกทีมไปจัดซุ้มรณรงค์ “เมาไม่ขับ” ตะโกนเสียงแจ๋วๆว่า

“ขอเป็นกำลังใจให้ท่านนายกฯนะคะ”

เท่านั้นแหละ …….

นายกฯยิ้มแก้มปริ เรียกทั้งทีมไปถ่ายรูปคู่

นี่บ่งบอกชัดถึงความเป็นคนซื่อตรงของตัวเอง รู้สึกอย่างไร ก็แสดงออกด้วยความจริงใจอย่างนั้น ไม่มีจริตเสแสร้ง

พูดถึงดร.สุปรีดา………จำได้ว่าคณะกรรมการสรรหาเสนอให้เป็นผู้จัดการ สสส.บอร์ดให้ความเห็นชอบ ช่วงเดียวกับพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ คสช.ปี ๕๗-๕๘

แต่ ๔-๕ วันก่อน เห็นมีประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์ เปิดรับสมัครผู้จัดการ สสส.แสดงว่าครบวาระแล้ว

ครบวาระ ก็น่าจะสมัครต่อนะ
เพราะ ๔ -๕ ปีที่ผ่านมา งานตามกรอบกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ที่เรียกกันว่า สสส.
ภายใต้การบริหาร-จัดการของผู้จัดการคนนี้ พูดกันตรงๆ บริหารความต่างทัศนะและรักษาสมดุลหลักการ สสส.ได้ดีทีเดียว

สสส.ในเนื้องาน “สร้างเสริมสุขภาพ” ด้วยเงินสนับสนุนจากภาษีเหล้า-เบียร์-บุหรี่

ว่าไปแล้ว เหมือนรังผึ้งที่อุดมด้วยหัวน้ำหวานและเกษร

ใครเข้ามาบริหาร ก็ยากและเหนื่อยจากแรงเสียดทานแห่งความต้องการทุกรูปแบบจากสังคม

ทั้งสังคมการเมือง การบ้าน นักวิชาการ นักกิจกรรมสังคม
รวมศูนย์อ้างอิงที่ “ประชาชน”

จะพูดว่า สสส.เป็นศูนย์กลางแห่งแรงโน้มถ่วงเพื่อการยึดเหนี่ยวจักรวาล ของทุกยูนิต ที่มีคำว่า “นัก…” นำหน้า ก็ไม่ผิด

ฉะนั้น ใครมาเป็นผู้จัดการ สสส.
ต้องทนต่อการ เกลียด, รัก, ชัง, แช่ง, ด่า ให้ได้เหมือนนายกฯ ในความที่ ทุกคน “มุ่งหวังจะได้” และ “มุ่งหวังแย่งชิง” หัวน้ำหวานจากรังผึ้งนี้

เอ้า…มาเข้าเรื่องมึนสมองประจำวันกันดีกว่า

เรื่องไหนจะมึนเท่าเรื่องของอนาคตใหม่ “ทอน-บูด-ช่อ” เห็นจะไม่มี
เรียกว่าหนังท้ายม้วน ยิ่งใกล้จบ ยิ่งม่วนหลาย!

เมื่อ ๑๙ ธค.ศาลรัฐธรรมนูญ “ยกคำร้อง” ที่ขอให้ไต่สวนพยานในคดี “คดีอิลลูมินาติ” ไปทีแล้ว

เมื่อวาน (๒๔ ธค๖๒)
“ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” มีคำสั่ง “ยกฟ้อง” ชั้นตรวจคำฟ้อง ที่ธนาธรฟ้องกกต.หาว่าเร่งรัดลงมติในคดีหุ้นสื่อวี-ลัคมีเดีย ไปอีกคดี

ทอนและคณะพรรคอนาคตใหม่ ใกล้เป้าหมายที่ไม่ได้ต้องการเข้าไปทุกขณะแล้ว

คดีต่างๆ ที่ทอนไปฟ้อง-ไปแย้ง

เป็นการหน่วงเวลาทางเชิงกลต่างๆ ไว้ ค่อยๆ พับไปทีละคดี-สองคดี

ตามรูปการณ์ ต้นปี ๖๓ ก็จะถึงคดีที่ทอนเป็นฝ่ายถูกฟ้องบ้างละ

ทั้งคดี “อิลลูมินาติ” คดีสืบเนื่องจากคดีถือหุ้น “วีลัค-มีเดีย” และคดีปล่อยเงินกู้พรรค

แต่ละคดี ถึงขั้นยุบพรรค ขั้นหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง และขั้นอาญา…ถึงคุกทั้งนั้น!

“ทอน-บูด-ช่อ” คิดการณ์อย่างไร จะลงถนน หรือจะขึ้นเรือบิน หรือจะช่องทางธรรมชาติ ก็คิดกันไว้แต่เสียเนิ่นๆ
เรื่อง “ลงถนน” นั้นน่ะ มีข่าวจะบอกทอน

เมื่อวาน ที่สภ.เมืองเชียงใหม่……..
“นายประสิทธิ์​ ครุธาโรจน์” นักศึกษา​ม.เชียงใหม่​ ไปรับทราบข้อหา​ในความผิด​พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ
จากที่ประกาศผ่านเพจ​ชวนให้ประชาชน​ไปร่วมแฟลชม็อบ สนับสนุนธนาธร ที่​ข่วงท่าแพ​ เมื่อ ๑๔ ธค.
ประเด็นน่าสนใจอยู่ตรงนี้ จะเล่าให้ฟังตามข่าว

คือตอนออกฉากเป็นพระเอกก็ดูเป็นฮีโร่ แต่พอตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ก็ซีด ขึ้นโรงพัก โดดเดี่ยวละซี..ทีนี้

ในข่าวบรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า.. “บรรยากาศ​ในวันนี้ได้มีนักศึกษา​และอาจารย์​ มาให้กำลังใจนายประสิทธิ์​ จำนวนหลายสิบคน

นอกจากนี้ ยังมี ศ.ดร.นิธิ​ เอียวศรีวงศ์​ นักเขียน​และนักวิชาการชื่อดังมาสังเกตการณ์​และให้กำลังใจด้วย”

ก็ชัด……ว่าพวกอีแอบที่คอยดุนหลังนักศึกษาให้ไปติดคุก-ติดตะราง เผลอๆ ถึงตาย นั้น

ก็คือพวกอาจารย์ พวกนักวิชาการเจ้าเล่ห์ นั่นเอง

พอดี อ่านที่เขาไลน์กันมา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาระบุชื่อคนพูดเรื่องนี้ไว้ด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่

แต่เนื้อหา มันใช่…ที่เป็นจริงทุกวันนี้
ฉะนั้น ขอเอาแต่เนื้อหามาเตือนสติกัน ส่วนชื่อผู้พูด ขอละไว้ก่อน เนื้อหาตามไลน์ ว่าอย่างนี้

#Save ประชาชน หยุดหลอกปชช.
รอบนี้คุณ #……พูดดี
เหมือนกระโดดถีบหน้า #……
เเละ#พรรคอนาคตใหม่ ยังไงไม่รู้น้า 55

เรื่องราวบางส่วนที่ควรอ่านของอาจารย์…..

เรื่องที่หนึ่ง
เมื่อผมสอนหนังสือในชั้นเรียน ผมบอกนิสิตเป็นประจำว่า หากอาจารย์คนใด สอน ยุยง ให้ใช้ความรุนแรง ก่อม็อบ ก่อจลาจล

ให้ถามอาจารย์ว่า ทำไมอาจารย์ไม่ลงมือทำเสียเอง และชวนคนในครอบครัวไปเป็นแนวหน้าปฏิบัติการ
อาจารย์ในห้องเรียนพูดไปงั้นเอง ไม่เคยเห็นเอาครอบครัวไปร่วมลงถนนด้วย

ไม่มีอาจารย์หรือครอบครัวของอาจารย์ตายในม็อบเลย เมื่อเกิดเรื่อง อาจารย์พวกนี้จะแอบรอจนชัดเจน จึงออกมาให้สัมภาษณ์ เห็นท่าไม่ดีก็เผ่นแล้วเก็บตัวเงียบ
—————
สอนลูกหลานไว้ครับ มีอาจารย์พรรค์นี้ลูกศิษย์ตาย เคยได้ยินว่า อาจารย์ จุฬา มธ. มหิดล เกษตร ฯลฯ ตายในเหตุต่อสู้ทางการเมืองบ้างไหม

เรื่องที่สอง
นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ที่หนีมาไทย จากเหตุการณ์การเมืองในพม่า
เวลานี้อายุร่วม 40 กว่ากันแล้ว ยังอยู่ในค่ายอพยพหลายหมื่น ไม่มีประเทศไหนรับไป นักศึกษาหญิงจำนวนมาก ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการขาย อย่าหนีไปมาเลเซีย ดงเลย

เรื่องที่สาม
ผู้อพยพในยุโรป เขาให้ตังค์ใช้เดือนละสองหมื่น จะกินให้พอ ต้องสองแสนครับ

ขอเป็นผู้ลี้ภัยยากมาก รัฐบาลเขาก็ไม่มีเงิน ประชาชนก็ด่า เดินขบวนต่อต้านผู้อพยพกันทุกประเทศ รำคาญพวกอาจารย์ที่ยุเด็ก

เรื่องที่สี่
นักการเมืองที่ยุเด็ก ลองทดสอบดูว่า หากนักศึกษาขอไปนอนบ้านด้วย สักยี่สิบคนจะรับไหม

ทดสอบก่อน เวลามีเรื่องจะได้พึ่งพาได้

ที่หนีไปประเทศเพื่อนบ้านก็อดอยาก เดือนละสามพัน ไม่พอหรอก

ห่วงเด็กนะครับ
ตอนผมเรียน อาจารย์ก็ยุให้เด็กเป็นแนวหน้ากัน เข้าป่าไปก็มาก
อาจารย์สบายดี

เตือนลูกหลานนะครับ มีผู้ใหญ่ชั่วเยอะ
คนรุ่นผมประสบการณ์เยอะ ตายไปก็มาก
……………
เป็นไงครับ เรื่องจริงของเบื้องหลังพวกอาจารย์หลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือ

ยุคก่อนๆ อย่าง ๑๔ ตุลา.๖ ตุลา.นิสิต-นักศึกษา นำหน้าอาจารย์

ไม่มีอาจารย์ยุ มีแต่ใช้หน้าที่อาจารย์ คอยดูแลด้วยเป็นห่วง-เป็นใย

นักศึกษาและคอยช่วยเหลือด้านความปลอดภัย

ผิดกับยุคนี้ ยุคประชาธิปไตยระบอบทักษิณ

บางอาจารย์กับบางนักศึกษา ตั้งชื่อสารพัดกลุ่ม รับจ้างจัดกิจกรรมกวนเมือง

ชนิดว่า ไม่ต้องอายกันแล้ว เอากันเต็มจอ-เต็มถนนจะจะไปเลย!

กราบหมา-กราบลูกศิษย์ได้….
นี่ละ สไตล์ “ไอ้แก่” หลอกแดกเด็กละ!

Written By
More from plew
เปิดบ้านใหม่ plewseengern แล้วครับ เชิญเยี่ยมเยือน
ตอนนี้ผมเปิดเว็บไซต์ www.plewseengern.com แล้วครับ เพื่อแก้ปัญหาการเพิ่มเพื่อนใน Facebook  ที่จำกัดไว้แค่ ๕ พัน ต่อจากนี้ ทุกคนอยากอ่าน อยากคุย  อยากแนะเรื่องอะไร...
Read More
0 replies on “นี่ไง “นักวิชาการ” หลอกเด็ก”