พลิกฟื้นคืนพุทธ โดย “สุวรรณภูมิ” สู่ “พุทธภูมิ” โดย พระกัน อโสโก

ครั้งหนึ่งอาตมาเคยถามท่าน ดาไล ลามะ ท่านนับถือศาสนาอะไรครับ ท่านตอบว่า ศาสนาแห่งความรักและความเมตตา นั่นคือสิ่งที่มีพลังและสำคัญที่สุดที่มนุษย์เราต้องการในทุกวันนี้ และเป็นสิ่งที่หายไปในสังคม อาตมาฝึกฝนจิตใจทุกวัน ให้มีความกรุณา ความรัก ความเมตตา ต่อทุกคน การรับใช้เพื่อนมนุษย์ คือ สิ่งที่สำคัญมาก คุณจะเป็นชาวพุทธอย่างไม่สมบูรณ์ หากไม่ช่วยเหลือผู้อื่น อาตมาขอถาม พระพุทธเจ้าท่านทำอะไร ไม่เกี่ยวว่าศาสนาไหน หรือพระเจ้าองค์ไหน ได้ทำอะไร ท่านทำเพื่อมนุษยชาติ ท่านไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ท่านอยู่เพื่อผู้อื่น นั่นคือเหตุผลที่เรามีความต้องการสนับสนุนมูลนิธิฯ” พระกากัน อโสโก (มาลิค) นักแสดงบอลลีวูด ได้เปิดเผยขณะที่เลื่อนสิกขาอย่างไม่มีกำหนด พร้อมเปิดตัว มูลนิธิไตรรัตนภูมิ  และกิจกรรมการกุศลแรก  84,000 พระพุทธปฏิมา คืนลมหายใจพระพุทธศาสนาสู่แดนพุทธภูมิ

“อาตมา พร้อมด้วย โยมแนท และ โยมกวาง ซึ่งรู้จักกันมา รู้เจตนาที่ดี พร้อมด้วยญาติโยมท่านอื่นๆ  ได้สร้าง มูลนิธิไตรรัตนภูมิ ขึ้นมา ให้เป็นที่ๆ ผู้คนเข้ามาร่วมกับเราเพื่อตอบแทนสังคม มันถึงเวลา ที่เราจะมีความสุขจากภายใน ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าคุณมีของบางอย่าง คุณก็สามารถนำไปให้สังคมได้ เพราะว่า มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะรวยล้นฟ้า คุณจะมีเงินเท่าไหร่ มีเกียรติหรือมีชื่อเสียงอย่างไร หรือมีทรัพย์สินทางโลกมากมายขนาดไหน ทุกอย่างท้ายที่สุดจะต้องกลับสู่ธรรมชาติ คุณไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย สิ่งที่เอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญุกุศล แล้วเราจะสร้างบุญได้อย่างไร วิธีเดียว คือ รับใช้ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น นั่นคือเหตุผลที่เราได้ตั้ง มูลนิธิไตรรัตนภูมิ เพราะความตั้งใจในการที่จะฟื้นฟูพุทธศาสนาในอินเดีย และเราต้องการสร้างรากฐานที่มั่นคง นำทางชาวอินเดีย เพื่อพระพุทธศาสนา และเรามีความยินดีที่จะสนับสนุนมูลนิธิฯ พร้อมๆ ไปกับวัดธาตุทอง เพื่อให้สมดังเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้”   

รายละเอียด ว่าที่ร้อยเอกณัฏฐกิตติ์ ชัยเฉลิมมงคล หรือ “โยมแนท” พูดถึงโครงการมหากุศลดังกล่าว ตั้งแต่ จุดเริ่มต้น พุทธภูมิ สู่ สุวรณณภูมิ

เริ่มแรกผมไปกับพระกากัน  กลับมาเมืองไทยเป็นสะพานบุญ ทางโน้นต้องการอะไร ทางนี้มีใครอยากบริจาค  ตอนหลังก็มีการทำพระพุทธรูปไปมอบให้เขาเป็นที่ระลึก ครั้งแรกผมนำพระพุทธรูปนำไปมอบให้พระที่อินเดีย 200 องค์ ปรากฏว่าเป็นความนิยมของเขาด้วย และเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าประเทศไทย ช่วยเหลือทางศาสนา เพราะพระพุทธรูปที่เราส่งไป เป็นพุทธศิลป์แบบไทย บังเอิญช่วงนั้นมีโครงการกำลังใจขององค์ภาฯ (โครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ) สอนให้นักโทษที่มีโทษสูง มีกิจกรรมทำ หนึ่งในนั้นคืองานปั้นพระพุทธรูปเป็นโครงการฯ ปั้นพระพุทธรูปจากนักโทษอุกฉกรรจ์ โดยมีนัยยะเพื่อช่วยขัดเกลาจิตใจพวกเขาด้วย บางคนปั้นไปน้ำตาไหลไป บางคนได้รับโทษประหารชีวิตแต่ปั้นพระพุทธรูปออกมาได้สวยงาม  ชื่อโครงการว่า “ปั้นดินให้เป็นบุญ” โดยการนำของ อาจารย์อรสม สุทธิสาคร นักเขียน และศิลปินแห่งชาติ ซึ่งนักโทษจะปั้นพระพุทธรูปขึ้นมา ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีการประกวดกันว่า พระพุทธรูปองค์ไหนที่สวยที่สุด  แล้วเอาองค์นั้นมาหล่อเพื่อที่จะให้ประชาชนร่วมบุญ ทำบุญ สร้างพระพุทธรูปองค์นี้เพื่อนำไประดิษฐานตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ บังเอิญมีรุ่นพิเศษที่ทำไว้ 51 องค์เพื่อที่จะส่งให้ดินแดนพุทธภูมิ หรือ อินเดีย ซึ่งรุ่นก่อนหน้านี้ส่งมอบให้เนปาล ซึ่ง อาจารย์ อรสม สุทธิสาคร ท่านมีที่ปรึกษาคือ พระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์  ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้สืบทอดเชื้อสาย ศากยะ จากสายพระอานนท์ ท่านก็แนะนำว่าถ้าจะส่งพระพุทธรูปไปประเทศอินเดีย ไปที่ๆ เป็นชุมชนของชาวพุทธคนอินเดียจริงๆ ท่านแนะนำให้คุยกับผม อาจารย์อรสม เลยมาคุยกับผม ว่าโปรเจคต์นี้เป็นแบบนี้จะมีการส่งมอบส่วนหนึ่งไปประเทศอินเดีย

มันคลิกตรงที่ว่า ผมรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร คือ ผมต้องมอบพระพุทธรูปองค์  ( 51 องค์ ในล็อตนักโทษปั้น) ให้สถานที่ๆ เขาจำเป็นต้องใช้จริงๆ ผมจะไม่ส่งมอบพระพุทธรูปใปในสถานที่ที่เขามีพระพุทธรูปอยู่แล้ว ผมก็เลยประสานงาน กับท่านศรีราชกุมาร บาโดเล่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและช่วยเหลือพิเศษ ผ่านคุณกากัน ในขณะนั้น ผมก็บอกท่านว่าอยากส่งพระพุทธรูปเหล่านี้ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วรัฐมหาราช แต่มีข้อแม้ว่า สถานที่ ที่จะตั้งพระพุทธรูป คนเหล่านั้นจะต้องทำสวดมนต์จริง ทำพิธีกรรมจริง บูชาจริงเท่านั้น และด้วยความรวดเร็ว ก็มีคนส่งใบสมัครมาเป็นพันๆ ใบ ซึ่งรัฐมนตรีบอกว่า 51 องค์ไม่พอแล้ว (ปี 60-61) ระหว่างนั้นผมก็จะประสานงานกับคุณกากันด้วย  คือถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาผมจะคุยผ่านคุณกากัน เพราะผู้รู้สึกว่าเขาเหมือนเจ้าถิ่น หลังจากที่เรามอบพระพุทธรูป 51 องค์ไป คุณกากันก็ปิ๊งไอเดียว่าเราจะต้องทำเพิ่ม ซึ่งเขาเชื่อว่าถ้าเขาสามารถส่งมอบ 84,000 องค์ได้ ก็จะทำให้ศาสนาพุทธเจริญงอกงามมากกว่านี้ ส่วนสาเหตุที่ต้องสร้าง 84,000 องค์เป็นเพราะว่าเป็นตัวเลขที่พระเจ้าอโศกสร้างสถูปไว้ โดยเขามีคอนเซปต์ว่า จะดำเนินตามอุดมการณ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ทุกวันนี้เลยได้ชื่อว่า  อโสโก  คือสมัยที่พระเจ้าอโศกท่านทำให้ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรือง ท่านสร้างเจดีย์ไว้ 84,000 องค์ ไปถึงไหนท่านก็จะสร้างเจดีย์ 

บริจาคพระพุทธรูป 84,000 องค์

เราเคยทำตรงนี้อยู่แล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าตรงนี้เป็นมิชชั่นที่เราต้องทำให้สำเร็จ ในเมื่อเรามีเครือข่ายเยอะขนาดนี้ เราควรทำมิชชั่นนี้ ถามว่ายากไหม ผมตอบไม่ได้เพราะไม่เคยมีใครเคยทำ การบูชาพระเพื่อที่จะเอาพระใปให้คนอื่น นี่เป็นความท้าทาย ซึ่งผมตอบไม่ได้ว่าจะสำเร็จไหม แต่เราก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ได้แต่คิดว่า เขาเอาพระพุทธรูปกลับไปแล้ว เขาสวดมนต์เขาอาจจะซาบซึ้งในพระพุทธศาสนาและสามารถนำไปบอกคนอื่นต่อได้ว่าพระพุทธศาสนาดีอย่างไร นี่แหละคือสิ่งที่เราคิดว่าจะทำให้พระพุทธศาสนาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และ เราไม่ได้หยุดแค่นี้เพราะ พระรัตนไตร คือ แก้ว ประการ สิ่งที่เราทำคือ พระพุทธ พระธรรมคือการเผยแพร่ทางศาสนา พระสงฆ์คือการให้ชาวพุทธทั้งในและต่างประเทศกับเข้ามาเรียนรู้หลักธรรมคำสอนด้วยการอุปสมบท(เคสคุณกากันมาบวช) เพื่อที่จะกระจายศาสนา เผยแพร่ต่อไป

ธรรมมะกับคนรุ่นใหม่ ทำยังไงไม่ให้ล่มสลาย

ผมได้เรียนรู้ในสิ่งที่น้อยคนจะได้เรียนรู้ คือบทเรียนการล่มสลายของศาสนาในประเทศอินเดีย ถามว่าศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมากๆ ทำไมถึงล่มสลายไป มันเกิดจากการล่าอาณาจักรโดยชนชาติศาสนาอื่น จนศาสนาพุทธได้เสื่อมสลายหายไปจากประเทศอันเป็นต้นกำเนิด

ประเด็นที่สองคือยุคหลังของศาสนาพุทธในอินเดีย  พระภิกษุเริ่มกลับมาค้นหาตัวเองมากขึ้น มุ่งนิพพาน ทั้งที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” หลักการนี้ยุคสุดท้ายของอินเดีย ไม่ได้ถูกใช้ เหล่านักบวชเริ่มมุ่งเน้นเรื่องนิพพาน  ปิดช่องทางการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ทำให้ศาสนาเล็กลง ๆ  เรื่อยๆ อีกอย่างหนึ่งคือการรับเอาศาสนาอื่นมาผสมกับศาสนาพุทธ เกิด ตันตระวัชรญาณ (คือมุ่งเน้นอย่างอื่นด้วยไม่ใช่แค่หลักธรรม) ขึ้นมา ซึ่งมีอะไรหลายๆ อย่างมามิกซ์กัน แต่เราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนั้น เราก็เลยไม่รู้ แต่นั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้สุดท้าย ศาสนาพุทธล่มสลายลง ซึ่งผมมองว่าถ้าวันนี้ไม่มีการเผยแพร่ศาสนาออกไป ต่อไปมันก็จะน้อยลงๆ และเสื่อมสลายไปในที่สุด

ตอนนี้กำลังจะถึงจุดนั้น เพราะศาสนามันน้อยลง เยาวชนห่างธรรมะมากขึ้น ถามว่าธรรมะเข้าใจยาก หรือการถ่ายทอดวิชาพุทธศาสนามันน่าเบื่อมากหรือเปล่า อย่างผมตอนนั้นเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ได้อะไรบ้าง หลับ เพราะวิชา พุทธศาสนา คือวิชาที่ง่วงนอนที่สุด การเรียนพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องสนุก หรือน่าสนใจอีกต่อไป เป็นสาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่ห่างเหินศาสนา

ทั้งที่ความคลาสสิคสุดๆ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ สองพันหกร้อยปี สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ ในปัจจุบันได้หมด ถ้าไปเปิดพระไตรปิฎกมีคำตอบทั้งหมด ไปอ่านได้เลยพระพุทธเจ้าท่านได้มอบแนวทางไว้ให้หมดแล้ว และยังใช้ได้ถึงทุกวันนี้   เพียงแค่เปลี่ยนบริบท อย่างเช่น หลักอริยสัจ4 เอาเข้าจริงทุกอย่างที่เราจะแก้ไขปัญหาได้ เราสามารถใช้หลักอริยสัจสี่ไปใช้ได้หมด โดยการนำไปประยุกต์ใช้ สามารถใช้ได้หมด

ในความคิดของเรากับการทำบุญโดยการบริจาคพระพุทธรูป

อันดับแรกเลยคือคุณจะมีส่วนร่วมในการปลูกเมล็ดพันธุ์พุทธศาสนากลับสู่ประเทศอินเดีย มันจะมีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าคุณหย่อนคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเขารับได้และนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตจริงได้ คุณคิดว่ามันก็ก่อเกิดประโยชน์และเป็นบุญกุศลมหาศาลขนาดไหน ยกตัวอย่างเช่น คนที่คิดฆ่าตัวตาย เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งหากเขาได้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และเกิดสติปัญญา เราก็จะรักษาชีวิตของคนเหล่านั้นไว้ได้ ผมเชื่อว่าปัญหาทุกปัญหามีทางแก้ เราสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ ตามแนวทางหลักอริยสัจ4 ที่พระพุทธองค์เป็นสอนไว้

ส่วนการบริจาคพระพุทธรูปกลับสู่ประเทศอินเดียนั้น ผมว่าเป็นการเชื่อมโยงที่ดี คือเราได้รับพระพุทธศาสนามาจากประเทศอินเดีย ในขณะที่ประเทศอินเดียศาสนาพุทธได้เสื่อมสลายไป นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่เราจะช่วยกันพลิกฟื้นคืนพระพุทธศาสนา สู่แดนพุทธภูมิอีกครั้ง พระพุทธรูปที่ผู้มีจิตศรัทธาได้บริจาคทุกองค์ ไม่ว่าจะเป็นองค์เล็กหรือองค์ใหญ่ จะถูกส่งต่อไปให้กับคนพุทธอินเดีย ได้สักการะบูชา เพื่อระลึกถึงคุณแห่งพระรัตนตรัย ในสถานที่ที่เหมาะสม นี่คือบุญที่เราสามารถทำได้และเห็นผล หากถามว่าการเป็นสะพานบุญโดยชมรมไตรรัตนภูมินี้ จะสามารถทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสาธุชนทุกท่าน ถือเป็นมหาบารมี ที่อยากจะเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันบำเพ็ญ

ท้ายสุด เพิ่มเติม พระพุทธศาสนาในอินเดีย

อินเดียเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ แผ่กระจายไปตะวันออกสุดคือประเทศจีน แผ่กระจายไปตะวันตกสุดคือประเทศนอร์เวย์ ศาสนาพุทธไปถึงขนาดนั้น เมื่อสองพันปีที่แล้ว แล้ววันหนึ่งมันล่มสลายไป ส่วนเหตุผลที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมถอยลงนั้นมี ประเด็นที่เคยได้ศึกษามา คือ  การรุกรานศาสนาอื่น หลักการเผยแผ่ศาสนาพุทธลดลง และการมุ่งเน้นแนวทางได้การพัฒนาตนเองจนขาดการเผยแผ่ และการเกิดใหม่ของนิกายอื่นๆ ทำให้การควบคุมยากขึ้น ศาสนาพุทธไม่เป็นหนึ่งเดียวไม่ เข้มแข็ง การล่มสลายหายไปพันปี ทำให้คนอินเดียไม่รู้จักศาสนาพุทธเลย 

ศาสนาพุทธ ถูกฟื้นฟูอีกครั้งในยุคล่าอนานิคมของประเทศอังกฤษ โดยประเทศอังกฤษมายึดอินเดียก็จะมีนักขุดสมบัติมากมาย หนึ่งในนั้นคือ เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม ซึ่งเป็นนักโบราณคดี ได้ขุดค้นพบโบราณสถานหลายแห่งมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน หรือที่เรารู้จักกันในนาม 4 สังเวชนียสถาน ทำให้รู้ว่าแต่ก่อนที่นี่คือดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา

นอกจากนี้ยังมี ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ ชาวศรีลังกาได้เข้าไปฟื้นฟู ยุคต่อมา คือ ดร.อัมเบ็ดการ์ บิดาแห่งรัฐธรรมนูญประเทศอินเดีย และยังเป็นผู้พาชาวฮินดูผู้เกิดนอกวรรณะ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ นับแต่นั้นเป็นต้นมาศาสนาพุทธจึงได้กลับมาขยายตัว และถือเป็นการต่อลมหายใจให้พระพุทธศาสนาครั้งสำคัญ แต่หน้าเสียดายที่หลักจาก ดร.อัมเบ็ดการ์ ท่านได้หันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา เพียง 3 เดือนท่านก็จากโลกนี้ไป ในปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียยังคงเติบโต แต่เป็นไปแบบช้าๆ ตามอัตภาพ ด้วยปัจจัยในหลายๆด้าน ซึ่งยังมีความแตกต่างในหลายๆทาง ที่คนพุทธในประเทศไทยเมื่อไปพบเห็นอาจรู้สึกแปลกใจ เช่น พระภิกษุที่ประเทศอินเดียนั้นมีวิถีที่แตกต่างจากประเทศไทย ที่เมืองไทยห้ามพระทำกับข้าว ห้ามพระขับรถ แต่ที่อินเดียพระภิกษุต้องไปจ่ายตลาดเพื่อกลับมาทำกับข้าวกินเอง ถามว่าทำไป ก็ต้องตอบว่าบริบทของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน คนพุทธที่นั่นส่วนใหญ่มีฐานะยากจน เขายังดูแลตัวเองไม่ได้เลยจะมาดูแลใครได้อย่างไร ผมเห็นแบบนี้ผมเลยเปิดกว้างมากสำหรับศาสนาพุทธในความหลากหลายของวัฒนธรรม ผมว่าถ้าเราไปยึดติดกับพระธรรมวินัย หรือระเบียบขนบธรรมเนียมจนเกินไป ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะบริบทของแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน   

นั่นเป็นเหตุผลหลักอันหนึ่ง ว่าทำไมคนอินเดียถึงอยากมาเห็นความเจริญรุ่งเรืองของประเทศที่พุทธศาสนาเบิกบานเต็มที่เพื่อที่จะนำกลับไปถ่ายทอดให้คนในประเทศของเขา  เช่น ขนบธรรมเนียมต่างๆ หรือพระธรรมวินัยของพระภิกษุในประเทศไทย การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม หรือการปฏิบัติตนต่อกันของเหล่าพุทธบริษัท เป็นต้น



Written By
More from pp
“นิโรธ” ประธาน กมธ.การตำรวจ สภาฯ รับหนังสือ จากที่ปรึกษาประธานกมธ.การตำรวจ ขอให้พิจารณาปรับขึ้นเบี้ยเสี่ยงภัยตำรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ
นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจากนายบูรฮันธ์ สะเม๊าะ ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการตำรวจ ระหว่างลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกับข้าราชการตำรวจในจังหวัดนครสวรรค์
Read More
0 replies on “พลิกฟื้นคืนพุทธ โดย “สุวรรณภูมิ” สู่ “พุทธภูมิ” โดย พระกัน อโสโก”