“เหงื่อแลกเงิน” เพื่อน้อง – เปลว สีเงิน

Young Asian female teachers wearing a medical face and students in a rural Thai village school are learning, grinding and raising their hands to answer teacher questions.

เปลว สีเงิน

ผมอ่านโพสต์นี้ในเฟซ ก็อยากนำมาให้อ่านด้วยกันก่อน ก่อนที่จะคุยกัน
………………………….
วารินชำราบบ้านเฮา อุบลราชธานี
เบื้องต้นผู้ใหญ่ใจดี พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษา 15,000 บาทครับ ทีมจิตอาสาเดินทางไปใกล้ถึงแล้ว

เรื่องเดิม.***ขอความช่วยเหลือครับ
สวัสดีครับ ผมพิการเป็นอัมพาตนอนติดเตียง ภรรยาและพ่อ แม่เสียชีวิตหมด อยู่กับลูกสาวพึ่งจบ ม.6 และสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.อุบลฯ

น้องได้ทุนเรียนจากเอกชน แต่ปัญหาคือต้องจ่ายค่าเทอมจำนวน 15,000 ก่อน เพื่อยืนยันสิทธิ์การเป็นนักศึกษา และขอใบรับรองจากทางมหาลัยก่อนถึงจะเบิกทุนได้

แต่ผมไม่มีเงินพอให้ลูกไปจ่ายได้ ไปหยิบยืมใครก่อนก็ไม่ได้เพราะเป็นคนพิการ ถ้าไม่จ่าย ก็จะโดนตัดสิทธิ์การเป็นนักศึกษา และโดนตัดทุนด้วยครับ

ผมสงสารลูก กลัวลูกคิดสั้น เพราะโดนตัดทุน และบ่มีโอกาสได้เรียนครับ อยากขอคนช่วยเหลือด้วยครับ
…………………….

ครับ…ก็ไม่มีอะไรพิเศษพิสดารไปกว่าอีกหลายๆ โพสต์ในเรื่องทำนองเดียวกันนี้
อีกอย่าง คุณพ่อของน้องก็บอกมี “ทีมจิตอาสา” เดินทางเอาเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทไปให้แล้ว

เพียงขอเสริมนิดเดียว คุณพ่อแสดงความสัตย์ซื่อ โพสต์รูปตัวกับน้อง โชว์หลักฐานสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.อุบลฯ มาแสดงด้วย

เรื่องการศึกษา คนอยากช่วยเหลือมีเยอะ
จึงเป็นช่องให้คนทราม ฉวยโอกาสหากินกับความเมตตาของสังคม กุเรื่องดรามาชีวิต หลอกเงินบริจาคอยู่บ่อยๆ
แต่พ่อ-ลูกรายนี้ ผมดูว่า “จริงใจ-ซื่อสัตย์”

เพราะขึ้นต้นก็บอกก่อนเลยว่า ๑๕,๐๐๐ บาท นั้น มีทีมจิตอาสามาช่วยแล้ว

ซึ่งถ้าเป็นนักฉวยโอกาส เขาจะไม่บอก เมื่อคุณพ่อซื่ออย่างนี้ ผมก็คิดว่า มีคนอีกจำนวนมาก อยากช่วยส่งเสริมน้องให้มีทุนเรียนจนจบ

แต่ด้วยความซื่อ-ใสของคุณพ่อนั่นแหละ โพสต์อะไรก็โพสต์ได้หลายบรรทัด
แต่เบอร์บัญชี เบอรโทรศัพท์ หรือแห่งหนตำบลที่อยู่ ว่าอยู่ที่ไหน ติดต่อได้อย่างไร ไม่บอกเลย บอกเพียงกว้างๆ “วารินชำราบบ้านเฮา อุบลราชธานี”

ยังกะว่า “ทั้งวารินชำราบ” มีบ้านคุณพ่อหลังเดียวงั้นแหละ!

ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่ยกมาเห็นเกี่ยวกับด้านการศึกษาของลูกๆ หลานๆ เรา “ทั้งประเทศ” ในขณะนี้

เศรษฐกิจภาวะนี้ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันยากเข็ญขนาดไหน ยิ่งโควิดที่ยาวนานต่อเนื่อง ไม่เพียงกระทบปัญหาความเป็นอยู่ด้านครอบครัวเท่านั้น

ยังกระทบถึงเด็กๆ ด้านการศึกษาในช่วงชั้นรอยต่ออีกด้วย ไหนจะค่าเทอม…ไหนจะค่าหนังสือเรียน…ไหนจะค่าเสื้อผ้า ยังอีกจิปาถะที่ต้องใช้จ่ายระหว่างการศึกษาอีกมากมาย

พ่อแม่ก็หายใจกระแหม็บๆ…..
จะเอาครอบครัวรอดไปแต่ละมื้อ-แต่ละวัน ก็ยังยาก ครั้นโรงเรียนเปิดเทอม จะเอาเงินที่ไหนไปเป็นค่าเล่าเรียนให้ลูกเต้าได้ล่ะ?

แต่ละปี จึงมีเด็กจำมากต้องหลุดออกจากระบบศึกษาอย่างน่าเศร้า เห็นชัดๆจากตัวอย่าง “ค่าเทอมน้อง” ข้างต้นนั้น

ผมอ่านโพสต์คุณพ่อ ที่ร้องขอความช่วยเหลือค่าเทอมลูกแล้ว จำได้ว่า…..

เคยเห็นโครงการ “ลมหายใจเพื่อน้อง” ที่ ปตท.กับ “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา=กสศ” ร่วมมือกัน ผ่านตาตามเฟซ-ตามเว็บอยู่หลายครั้ง แต่ก็แค่ดูผ่านๆ

จึงย้อนกลับไปดูรายละเอียดอีกที ก็อยากจะนำมาบอกผู้นิยมการเดิน-วิ่งออกกำลังกาย ว่า
เราทุกคน……
สามารถ “มอบทุนการศึกษา” ให้เด็กๆ ที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาในปีนี้ ได้ถึง ๖๐,๐๐๐ คน

โดยเพียงเอา “เหงื่อท่านแลกเงิน” ไปเป็นทุนการศึกษาให้เด็กจำนวน ๖๐,๐๐๐ คน นั้น

คือ ปตท.เขาจัดกิจกรรม “PTT Virtual Run” เริ่มมาตั้งแต่ ๑๕ พค.ไปสิ้นสุดเอา ๓๐ มิย.๖๕
เปิดโอกาสให้ทุกคนที่เดินหรือวิ่งสะสม Virtual Run แปลงเป็นทุนการศึกษาให้เด็ก โดยปตท.ตั้งทุนไว้ให้ ๑๕๐ ล้านบาท

ทุกท่าน ไม่ว่าจะเดิน-จะวิ่ง อยู่ที่ส่วนไหนของประเทศหรือของโลก สามารถแปลงทุกๆ ๑๐ กิโลเมตร เป็นเงินได้ ๒,๕๐๐ บาท ช่วยนักเรียนได้ ๑ คน และปตท.จะสมทบช่วยอีก ๑ คน

กติกามีเพียง……….
ต้องลงทะเบียนผ่าน QR Code หรือ www.ลมหายใจเพื่อน้อง.com หรือ Line Official:PTTVirtualRun ก่อน ไม่มีค่าสมัครหรือค่าอะไรทั้งสิ้น

ต้องลงทะเบียนเพื่ออะไร เพื่อจะได้ส่งผลเดิน-วิ่งไปแปลงเป็นทุนนั่นแหละ และอีกอย่าง เพื่อรับของที่ระลึกจากโครงการ “PTT Virtual Run ลมหายใจเพื่อน้อง” นั่นด้วย

ผมเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าวัยเด็ก, วัยรุ่น, วัยหนุ่ม-สาว, วัยเฒ่า-แก่ นิยมการเดิน-การวิ่งกันมาก
ไหนๆ ได้พลานามัยกันแล้ว ก็อยากให้ร่วมกิจกรรมนี้ เพื่อแปลงเหงื่อท่านเป็นทุนให้เด็กๆ กัน

อย่าให้หยดเหงื่อท่านสูญเปล่าเลยครับ ผมเสียดายแทนเด็กๆ

อย่างว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” นำทีมวิ่งตรวจงานไปแทบทุกเขต นำคณะสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเลยครับ
กว่าจะหมดเขต ๓๐ มิย.รวมๆ กันแล้ว ต้องได้เป็นหมื่นกิโลเมตรแหงๆ

๑๐ กม./๒,๕๐๐ บาท แล้ว ๑๐,๐๐๐ กม.เหงื่อท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติและคณะ จะแปลงเป็นทุนให้เด็กได้ขนาดไหน ใครช่วยคำนวณที ผมตกเลข!

ลงทุนอะไร ชาติไม่ยั่งยืนเท่า “ลงทุนเพื่อการศึกษา”

ต้องขอชม “ศ.ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์” ประธานกรรมการปตท.และ “คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” CEO ปตท.ผู้จัดกิจกรรมนี้

Virtual Run คืออะไร ส่วนมากรู้กันแล้ว ผมลอกเขาเอามาบอกอีกที เผื่อคนที่ยังไม่รู้

Virtual Run ในกรณีคือ การวิ่งหรือการเดินที่ผู้เข้าร่วม ต้องลงทะเบียนออนไลน์ ก่อนจะออกไปวิ่ง-เดิน เพื่อทำระยะทางให้ถึงตามที่กำหนด
โดยเลือกได้เองว่า จะวิ่งที่ไหน เมื่อไหร่

จากนั้น อัพโหลดข้อมูลวิ่งหรือเดินแต่ละครั้ง ในแต่ละวัน ไปให้ผู้จัดกิจกรรม เพื่อแปลงระยะทางเป็นทุนให้เด็กและรับของที่ระลึก

กิจกรรมอย่างนี้ ดีครับ ๑๕๐ ล้านบาท ที่ปตท.จ่ายได้สองต่อ ต่อแรก ส่งเสริม-สนับสนุน การออกกำลังกายด้วยการเดินและวิ่ง

ต่อที่สอง เท่ากับซื้อเหงื่อนักเดิน-นักวิ่งแปลงเป็นทุนการศึกษาให้นักเรียน ๖๐,๐๐๐ คน

ทั่วๆ ไป มีแค่ WIN…WIN

แต่กิจกรรม “PTT Virtual Run ลมหายใจเพื่อน้อง” ต้องบอกว่า WIN..WIN..WIN..WIN

คือ ชนะด้วยกันถึง ๔ ฝ่าย ทั้งปตท.และทั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธานบริหาร

ทั้ง “นักเดิน-นักวิ่ง” ที่ร่วมกิจกรรมทุกคน และทั้งโอกาสทางการศึกษาของนักเรียน ๖๐,๐๐๐ คน ในปีการศึกษานี้

ปตท.ยุคนี้ …..
พ้นจากยุค แก้ส น้ำมัน และปิโตรเคมี พุ่งไปสู่ยุคนวัตกรรมวิจัยและพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม/ ปิโตรเคมี ชั้นสูงไปแล้ว

ที่น่าจับตา ปตท. แตกยอด แตกไลน์ ธุรกิจไปสู่มิตินวัตกรรมสังคมโลกสู่ศตวรรษที่ ๒๑ อย่างน่าตื่นตา

ที่เด่นมากๆ คือธุรกิจผลิตโปรตีนจากพืชแทนเนื้อสัตว์ซึ่งมันตอบโจทย์สังคมโลก-สังคมมนุษย์ ที่กำลังไปแนวนั้นมากๆ

โดยปตท.วางตำแหน่งไทยเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมด้านอาหารเพื่อสุขภาพของอาเซียน”

และอีกตัว เป็นธุรกิจนวัตกรรมที่ผมมองว่า ใน๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า ภาพลักษณ์ปตท.ไม่ใช่พ่อค้าน้ำมัน

แต่จะเป็น Life Science ในธุรกิจยา วิจัย-พัฒนา ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ ยาชีววัตถุคล้ายคลึง ธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ

ผมดูการก้าวข้ามสายพันธุ์ของปตท.แล้ว ต้องบอกว่าปตท.เป็นอีกรายหนึ่งที่จะเป็นตัวนำประเทศด้านนวัตกรรมทางธุรกิจในภูมิภาคนี้

ไม่แค่นั้น ธุรกิจ Life Science และอาหารโปรตีนจากพืช จะไประดับตลาดโลก สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ ถึงขั้นที่ว่าระดับแสนล้านจากแก้ส-น้ำมันวันนี้ กระจ้อยร่อยไปเลย

ทุกวันนี้ เราติด “กับดักการเมือง” กันมากไป
และบ้าใบ้-ไคล้คลั่ง อยู่กับใครจะไป-ใครจะมา โดยไม่ยอมเงยหน้าดูว่า “ภาครัฐ-ภาคเอกชน” เขาวางรากฐานธุรกิจอุตสาหกรรม นำประเทศไปสู่สังคมอนาคตไกลถึงไหนกันแล้วบ้าง?!

พวก “ผู้ทรงเกียรติ” นั่นเหมือนกัน
เมื่อไหร่ “เชือกสนตะพาย” จะพ้นจมูกซะทีล่ะ?

 



Written By
More from plew
ต้อง “ล็อก” อีกซักกี่ครั้ง? – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “ล็อกดาวน์” กลับมาหลอนอีกแล้ว! คณะแพทย์สาธารณสุข “นำเสนอ” จากป่วยวันละ ๒-๕ พัน ตอนนี้ ทะยานขึ้น “หลักหมื่น”...
Read More
0 replies on ““เหงื่อแลกเงิน” เพื่อน้อง – เปลว สีเงิน”