บนก้าวย่างนายกฯ-เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

เมื่อวาน “ศุกร์ ที่ ๑๐ มิถุนา.” คงฤกษ์ดี
เพราะ ๓ ป. “ป.ป้อม-ป.ป๊อก-ป.ประยุทธ์” ไปออกงานร่วมกันที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ความจริงไม่ใช่งานพิธีกรรม-พิธีการ “ภาคบังคับ” ที่ต้องไปพร้อมหน้า เพราะเป็นเพียงงาน……
“เปิดโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างโอกาสด้านอาชีพ สร้างสรรค์บทบาทสตรี สู่ความเข้มแข็งในชุมชน” เท่านั้น

แล้วอะไรล่ะ….?
เป็นเหตุจูงใจให้ ๓ พี่น้องตระกูลป.กอดไหล่-กอดคอมาพร้อมหน้ากันเช่นนี้

จะว่าเพราะงานนี้ “สุภาพสตรีล้วนๆ” เป็นแม่เหล็กดึงดูด ก็ไม่น่าใช่ หรือมาจ๊ะเอ๋กันเองโดยมิได้นัดหมาย ยิ่งไม่ใช่ใหญ่!

แต่จะด้วยเหตุใดก็เถอะ
ภาพกอดคอสามัคคี เป็นภาพสะท้อน “ความเป็น ๑ หนึ่งเดียว” ใน ๓ พี่น้องตระกูล ป.ที่ช่วยล้างความอึมครึมด้าน “ไม่เป็นเอกภาพ” ในพลังประชารัฐได้บ้าง

โดยเฉพาะป.ป้อม กับ ป.ประยุทธ์ ในด้าน “อำนาจนำพรรค” ที่ความ “ไม่ชัดเจน” ฉุดดึงคนเคยศรัทธาให้เบื่อระอาพลังประชารัฐ
จนสส.ในพรรคหวั่นไหว ยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” จะขายได้หรือไม่ ในตลาดเลือกตั้งต้นปีหน้า?

โดยเฉพาะ “ในกทม.” ถ้าปล่อยให้เกิดความอึมครึมอยู่อย่างนี้ ว่าระหว่างนายกฯ กับลุงป้อม
“พลังประชารัฐ” จะชูใครนำกันแน่?

ขืนทอดเวลาปล่อยให้เดากันไป-เดากันมา เลือกตั้งก็อย่าหวังว่าจะได้เพิ่มเลย
เอาแค่รักษา ๑๒ เขต ๑๒ สส.กทม.ที่ได้ครั้งที่แล้วให้เหลือซักครึ่ง ก็นับว่าปาฎิหาริย์แล้ว!

นายกฯ ประยุทธ์ขายได้…ลุงป้อมขายไม่ได้ นั่นก็ยังไม่ใช่ตัวตัดสินใจชาวบ้านที่้เคยเลือก ว่า “ยังจะเลือกต่อหรือไม่เลือกต่อ”?

ประเด็น “ชี้ขาด” ในการตัดสินใจ มันอยู่ตรงนี้
ตรงที่ ป.ป้อม-ป.ประยุทธ์ จะเอายังไง “พูดออกมา” ให้ชัด!

ถ้าจะอ้างว่า “ถึงเวลารู้เอง” ไม่ต้องรีบร้อน นั่นก็ไม่ผิด
แต่เวลาอีก ๑ ปี ที่จะต้องเลือกตั้งใหญ่ นั้น
มันไม่ต่าง “๑ เดือน” มากนักหรอก……

ในการวางแผน “เตรียมทัพ” ออกศึก ว่าใครเป็นแม่ทัพใหญ่ ใครเป็นเสธฯ ใครเป็นขุนพล-ขุนศึก ซึ่งมันมีผลทางกำลังใจด้านฮึกเหิม-ห่อเหี่ยว ของลูกทัพและชาวบ้าน-ชาวเมืองมากทีเดียว

ในระดับลูกทัพ
ถ้าไม่ศรัทธาคนนำทัพ บ้างจะถอดใจ บ้างจะแปรพักตร์ไปอยู่ใต้ธงรบกองทัพอื่นที่เขามั่นใจในศักยภาพนำ

ในระดับชาวบ้าน ก็ทำนองเดียวกัน…….
ที่เคยสนับสนุนเชื่อมั่นศรัทธาในพลังประชารัฐ เมื่อเกิดภาพพร่า ก็จะคลอนแคลน แล้วแห่แหนไปหวังพึ่งผู้นำใหม่ ที่เขาเชื่อว่า อยู่ใต้บารมีเขาแล้ว จะรอด-ปลอดภัยกว่า

นี่มันเป็นสัจธรรมสังคมที่ว่า “ฝูงสัตว์ต้องต้อน ฝูงชนต้องนำ”!

ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูจากเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และสก.เมื่อ ๒๒ พฤษภา.ก็จะเห็น

“ชัชชาติ” ชนะ นั่นคนกทม.ล้านสามแสนเสียง ส่วนหนึ่งมาจากแดงทักษิณ อีกส่วนมาจากเอ็นจีโอสามนิ้ว

อีกส่วนไปจากคนหมดความมั่นใจบวกความเบื่อหน่ายเอือมระอาความไม่ชัดเจนในอำนาจนำพรรค ระหว่างนายกฯ กับลุงป้อม

ทั้งพล.ต.อ.อัศวินทั้งสกลธี……..
ของพลังประชารัฐคนไหน ก็ให้แฟนพลังประชารัฐ “เขย่าติ้ว” เลือกกันเอาเอง ผลจึงออกมาอย่างนั้น

นั่นก็ยังไม่ใช่ตัวบ่งชี้เท่า “สก.”
พลังประชารัฐ ชนะแค่ ๒ เขต ในจำนวน ๕๐ เขต ตกต่ำขนาดนั้นได้อย่างไร กับพรรคที่มีสส.กทม.๑๒ คน มากเป็น อันดับหนึ่ง?

นั่นคือผลการเดินเกมแบบหลงตัว-ลืมตนแล้ว “กันท่า-ยืนถ่างขาขี้” ของคนพลังประชารัฐเอง โทษใครไม่ได้!

ทักษิณ-เพื่อไทย ที่เปิดตัวว่า “เลือกตั้งครั้งหน้าจะแลนด์ไสลด์” นั้น ที่สำคัญ ไม่ใช่จะสไลด์หรือไม่สไลด์
มันสำคัญตรง “ความชัดเจน” นั่นตะหาก!

ที่สร้างความฮึกเหิมให้ลูกทัพ ส่งผลทางจิตวิทยาถึงผู้ตามคือชาวบ้านด้าน “ฝากผี-ฝากไข้” นำไปสู่การตัดสินใจในการเลือก

ก็คิดดูง่ายๆ เลือกตั้งปี ๖๒ พลังประชารัฐ “พรรคเกิดใหม่” ร้อยพ่อ-พันแม่ แต่ชาวบ้านแห่เลือกจนได้เป็นรัฐบาล
เหตุผลเดียวที่เลือก คือ “มั่นใจ” ในตัวพลเอกประยุทธ์
และพลังประชารัฐก็ “ชูประยุทธ์” เป็นจุดแข็ง-จุดขาย ในตลาดเลือกตั้ง

แต่มาคราวนี้ ทักษิณเปลี่ยนแผน จากคราวที่แล้วคลุมเครือ ส่งทั้งสุดารัตน์-ชัชชาติ-ชัยเกษม เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย
เกือบครึ่งคอกแบบนั้น เท่ากับทักษิณแบไพ่ ตานี้ “สู้ไม่ได้” ยอมให้พลเอกประยุทธ์

แต่รอบนี้ ทักษิณหรี่ตาจับสังเกตอาการคู่ต่อสู้แล้ว อ่านว่า “ละล้า-ละลัง”
จึงเก “ครึ่งหน้าตัก”
วางลูกสาวสุดที่รัก “อุ๊งอิ๊ง” เป็นเดิมพันแลนด์สไลด์ตั้งแต่เรียกไพ่ใบแรก

คอหวยเขาเรียกแบบนี้ว่า “มั่นใจ” ชนิด”ขายลูก-ขายเมีย” แทง!

เห็นอย่างนี้แล้ว จะให้ “ผีข้างบ่อน” วางเดิมพันถือหางข้างไหนล่ะ ระหว่างพรรคที่มั่นใจ “ขายลูก-ขายเมีย” แทง กับพรรคที่ “ยึกๆ ยักๆ” เหมือนไม่มั่นใจในหน้าไพ่ตัวเอง?

ประชาธิปไตยเลือกตั้ง…….
เขาออกแบบมาให้ยึด “ปริมาณ” แทนยึด “คุณภาพ” เมื่อรักจะโดดลงไปในเกมประชาธิปไตย ก็ต้องรู้วิธีหาปริมาณ-หาคุณภาพ ว่ามีอยู่แหล่งไหน และจะใช้วิธีการใดเข้าถึง?

ถ้าปฏิเสธกลเกมตามกติกา ก็นอนอยู่บ้าน เป็นแม่ไก่กกไข่ จะไปลงสนามไก่ชนให้ขนร่วง-หงอนฉีกเพื่ออะไร?

นี่คุยด้านหลักการ
แต่สำหรับ “นายกฯ ประยุทธ์” ผ่านปฏิบัติการมา ๗-๘ ปี เลยหลักการไปถึงขั้น “มากประสบการณ์” ในระดับ “ไก่ชนของพระนเรศ” แล้ว

ดูจากเมื่อวาน ๓ ป.คล้ายแผนยุทธการ “ตกผลึก” กันแล้วเพราะเห็นนายกฯดูมีอารมณ์ปลอดโปร่ง สบายใจเป็นพิเศษ

ทั้ง ๓ ป.เข้าไปในงาน ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายสาวน้อย-สาวใหญ่ กันเองมากๆ นายกฯ ได้หมดสดชื่นถึงขั้นทำมือส่งสัญลักษณ์ ไอ เลิฟ ยู ไปทั่วๆ

บอกด้วยว่า…….
“ผมพยายามปรับตัว​ แต่ยอมรับนะ บางทีก็เครียด​ แต่ในวันนี้ ไม่เครียด​ ไม่เครียดเพราะเห็นรอยยิ้มพวกเรา..สไมล์ รอยยิ้มสยาม​ ผมก็ต้องพยายามยิ้มให้มากขึ้น”​

และยังย้ำตอนท้ายๆ อีกว่า…….
“ซอฟต์พาวเวอร์ โดยเฉพาะรอยยิ้ม ที่เราต้องยิ้มให้กันมากๆ แล้วทุกอย่างจะผ่อนคลายไปเอง
บางทีผมเองก็เครียดบ้าง อะไรบ้าง แต่วันนี้ไม่เครียดอะไรเลย เพราะเห็นรอยยิ้มจากผู้ที่มาร่วมงาน เป็นยิ้มสยามประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ถ้าไม่รัก ไม่ร่วมมือกัน ก็ไปไม่ได้หมด”

นอกจากแจกยิ้มแข่งกะน้องลิซ่าด้วยอารมณ์แจ่มใสแล้ว ปกติจะพูด-จะจาจะติดห้วนๆ แบบทหาร แต่เมื่อวาน นายกฯ “ปากหวาน-ขานเพราะ” แฮะ

ลองฟังดูซี……….

“ก่อนที่ผมจะเดินทางมา​ ผมคิดก่อนว่าจะมาพูดอะไร ผู้หญิงที่เยอะขนาดนี้​ เพราะที่บ้านมีเพียง ๓ คนภรรยาและลูก​
มาที่นี่ เจอเป็นร้อยคน มาเพื่อให้เกียรติให้กำลังใจทุกคน แล้วขอให้ช่วยกันนำพา เขาเคยบอกกันว่า ช้างมี ๔ ขา วันนี้ ช้างจะเดินไปอย่างไร ที่จะเดินไปพร้อมๆ กัน

แต่จะต้องมั่นคงในทางธรรมชาติ​ แม้ว่าทางหลักสรีระเป็นไปไม่ได้​ แต่ต้องนำหลักความคิดเข้ามา​ เนื่องจากสตรีมีความละเอียดอ่อน​ มีความรอบคอบ​ระมัดระวัง​

แต่ผู้ชายมีความเด็ดเดี่ยว อันไหนดีก็สนับสนุนกันไป จะได้ไปด้วยกัน

ผมจึงขอฝากทุกคนไว้ด้วย ฝากประเทศไทยไว้กับทุกคน เรามีสถาบันหลักของชาติ ๓ อย่าง ชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่เรารักษากันเอาไว้นานมากแล้ว

และเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา…….
ขอให้เดินไปอย่างนี้ อย่างน้อยก็มีศูนย์รวมเป็นจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ในการที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน​ เราต้องค่อยๆปรับเปลี่ยนแก้ไขทำให้ดีขึ้น……..”

จะว่าไป เดี๋ยวนี้ นายกฯ พูดเก่ง ไม่ชวนง่วง-ชวนเบื่อ เพราะพูดแต่เนื้อ เหมือนก่อนๆ แล้ว
มีลูกเล่น ลูกหยอก และลูกหยอด จับไมค์แล้วเครื่องติด แบบนี้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงซักพัก เป็นดาวไฮด์ปาร์คแหงๆ

เห็นฝ่ายค้านเขาสลักชื่อนายกฯ ลงศิลาจารึกเป็นเบอร์แรกในจำนวน ๑๐ รัฐมนตรี ที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว

ดูการลุกขึ้นซด “หมัดต่อหมัด” นัดอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา เชื่อขนมกินได้
ฝ่ายค้าน ที่จะล้มเขา กลับต้องกลายเป็น “ควายถูกเชือด” เหมือนเดิม!

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า…….
“หัวหน้าตายเพราะขี้ข้า หมาตายเพราะเห็บ”!



Written By
More from plew
อุตสาหกรรมภาพยนต์-เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “ป่วย-เป็นโรค ๓ แข็ง” “ไหล่แข็ง-คอแข็ง-บ่าแข็ง” ร้าวลามลงไปถึงสันหลัง นอกนั้น “นิ่มป๋อย” ทั้งเนื้อ-ทั้งตัว เหมือนยางรถแตก ยังดีนะ...
Read More
0 replies on “บนก้าวย่างนายกฯ-เปลว สีเงิน”