“พญางูเห่าดูไบ” โผล่ใบ้หวย

นักข่าวนี่….ก็นะ

น่าจะเปลี่ยน “ซิมสมอง” ซะมั่ง ทำเป็นหุ่นยนต์ “โปรแกรมสำเร็จรูป” ไปได้

อภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จปุ๊บ ต้องปรี่ถามนายกฯ ปั๊บ
“ปรับครม.มั้ยค่ะ?”

ช่างไม่ดูซะเลย ว่าชกเสร็จ ใครที่อ้วกแตก เถลือกไถล มุดเชือกหนีลงจากเวที

ชนิดมี ซังข้าวโพด กระโถนน้ำหมาก และเกี๊ยะพวกเดียวกันปลิวว่อนไล่หลังนั่นน่ะ

อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เปรียบเหมือนตอน “เจ้ากรุงอังวะ” เหิมเกริมว่าไทยหลังกรุงแตก ยังรวมตัวไม่แน่น
จึงมีคำสั่งให้ “แมงกี่มารหญ่า” เจ้าเมืองทวาย
ยกกองทัพมาหวังเหยียบกรุงธนบุรี ของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ให้สิ้นซาก



แต่ที่ไหนได้………
แค่ยกมาถึง “ค่ายบางกุ้ง” สมุทรสงครามเท่านั้นแหละ ทัพใหญ่ของพระเจ้ากรุงธนบุรียังไม่ทันมาถึงด้วยซ้ำ

ทหารแมงกี่มารหญ่ากลายเป็นบะหมี่ต้มยำไปซะแล้ว ถูกทหารรักษาค่ายบางกุ้ง ไล่ฟันกระบาลแบะ

มากัน ๓ พันโสร่ง วิ่งโสร่งหลุดหนีกลับทวายไปได้ ถึงร้อยก็นับว่ามากแล้ว

นี่ไม่ได้โม้นะ เพราะโคตรเหง้าผมอยู่แถบนั้น

ที่ดินค่ายบางกุ้งเป็นเรือกสวน ก่อนขึ้นเรือน ต้องตักน้ำตีนกระไดบ้านล้างเท้า

ล้างไป-ล้างมา น้ำชะดินละลายไปเรื่อยๆ เอ๊ะ..อะไรหว่า สะดุด..สะดุด………
อ้าว…หัวกะโหลกผีพม่านั่นเอง โผล่!

ทุกวันนี้ ก็ยังเป็นอย่างนั้น คือพม่าเหิม เมื่อถูกทหารค่ายบางกุ้ง (ส่วนใหญ่เป็นคนจีน) สับกบาลสั่งสอนและไล่เตะตูดหนีเตลิดแล้ว



ก็ไม่มีการกลบฝังอะไร เป็นศพนอนดิน เกะกะ เรี่ยราด มาเป็นร้อยๆ ปี ก็เปื่อยเน่า แปรสภาพเป็นดินดีสมเป็นนาสวน

แต่กะโหลกไม่แปรสภาพ……..
ทุกวันนี้ แถวๆ ค่ายและวัดบางกุ้ง หาไส้เดือนยังยากกว่าหาหัวกะโหลกทหารพม่า เพราะว่าเรี่ยราดอยู่ใต้ผืนดินตื้นๆ

และควรทราบไว้นิด………
จากศึกค่ายบางกุ้ง นี่แหละ เป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” จริงๆ ของพม่า ที่ยกมารังควาญไทย

คือพม่าหายข้องใจว่า “ไทยกอบกู้ชาติ” กลับคืนได้จริงหรือไม่ จากวันนั้น ก็เข็ดขี้อ่อน-ขี้แก่ ไม่กล้ายกทัพเข้ามาวอแวอีก

จากกรุงธนบุรี ……
ตราบถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ณ วันนี้!

แต่ไม่แน่นะ พม่าอาจเปลี่ยนกลยุทธ์-กลศึกก็ได้ ๓-๔ ร้อยปีก่อน ขี่ช้าง ขี่ม้า ยกทัพมาตีเมือง แต่ไม่สำเร็จ

ยุคนี้ จึงเปลี่ยนรูปแบบ
จาก “ทัพทหาร” มาในรูปแบบ “ทัพแรงงาน” กระจายยึดไทยทั่วทั้ง ๗๗ จังหวัด



ทัพแรงงานพม่ามากกว่า ๓ ล้านคน ส่งสัญญาน
เอ้า….เฮ…..
ยึดประเทศไทยพร้อมกันวันไหน โดย “ไม่ทำงาน”
ประเทศไทย “ซี้แหง” วันนั้น!

มาเข้าเรื่องต่อ คือจะบอกว่า ความจริง จากรูปการณ์อภิปรายไม่ไว้วางใจ ๓-๔ วัน ตามที่เห็น

นักข่าวควรไปเอาคำตอบจากฝ่ายค้านมาให้ชาวบ้านหายข้องใจก่อนจะดีกว่า ว่า

“ทำไมฝ่ายค้านห่วยแตกอย่างนี้ ยกทัพมาตีเมืองรัฐบาลแท้ๆ แต่ทั้งขุนศึกยันไพร่ราบพลเลว มีแต่บ๊องๆ บวมๆ มวยล้มต้มคนดูหรือเปล่าคะ”?

เนี่ย….นักข่าวน่าจะไปถามซีกค้าน โดยเฉพาะเพื่อไทย มากกว่าจะรีบถามนายกฯ “ซีกรัฐบาล” ว่าปรับ ครม.เมื่อไหร่?

รูปศึกสงครามแบบนี้ มันต้องถามว่า
“ท่านนายกฯคะ จะปูนบำเหน็จรางวัลทีมงานดับสุริยากันคนละกี่ขั้นคะ?”

หรือไม่ก็ต้องถามพลเอกประวิตรว่า “ท่านคะ ท่านใช้มนต์เรียกเนื้อ-เรียกปลาบทไหนคะ ฝ่ายแค้นมาเข้าข้องตั้ง ๕ ตัว?”

ไม่เห็นหรือ…….
ที่ไหนๆ  มีแต่นายกฯ จะได้คะแนนมากที่สุด แต่ที่นี่ รองนายกฯ ชื่อป้อม คะแนนสูงสุด นายกฯ ได้ ๒๗๒
แต่บิ๊กป้อมได้ตั้ง ๒๗๗ มากกว่าตั้ง ๕



สโนว์ไวท์ว่างามเลิศในปฐพี ยังสู้พี่ป้อมไม่ได้เล้ย ขนาดสส.พรรควีรบุรุษนาแกยังโหวตให้!

ไม่ได้ถากถางอะไรท่าน
แต่นี่คือการตอกหัวตะปูย้ำ อภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จ แทนที่รัฐบาลจะแตก กลายเป็นฝ่ายค้าน “แตกยับอัปรา”

และเป็นการแตก ชนิดมีนัยสำคัญ เหมือนซ่อนมีดคนละเล่มในเกมจุมพิต
เดิม…๗ พรรครวมเป็น “พรรคค้าน”

ตอนอภิปราย เหลือ ๖ พรรค แต่พออภิปรายเสร็จ เหลือแค่ ๕ พรรคค้าน
เพื่อไทย -พรรคพ่อ กับอนาคตใหม่-พรรคลูก

พ่อกับลูก โดดเตะก้านคอกันเอง คนละฉาด-สองฉาด ลูกหาว่าพ่อ เอาน้ำลาย “เผาเวลา” ของลูกไปหมด จนอดอภิปรายไล่รัฐบาล และแฉทีเด็ด “ประจานบิ๊กป้อม”

เตะก้านคอสางแค้นยังไม่หนำใจ ก็ลากไส้กันเองออกมาทำตือฮวน
เพื่อไทย ก็ว่า อนาคตใหม่ แอบไปมีอะไรกับบิ๊กทหาร

อนาคตใหม่ ก็ว่า เพื่อไทย แอบไปมีดีลลับกับรัฐบาล!



สรุป…….
รัฐบาลแรกเริ่ม เสียงปริ่มน้ำ ๒๕๔ เสียง ส่วนฝ่ายค้านประมาณ ๒๕๐-๕๑ เสียง คือหายใจรดต้นคอกันชนิด ลุกไปฉี่ไม่ได้ ตอนประชุม

แต่ ณ วันนี้ ดูเอาละกัน คะแนนโหวตพลเอกประวิตรตั้ง ๒๗๗
ใครปริ่มก็ไม่รู้สินะ?

รู้แต่ว่า คะแนนนี้ ท่านได้ แต่ใดมา อ๋อ…สส.ฝ่ายค้าน เขาให้!

เมื่อรัฐบาล ยิ่งนาน-ยิ่งโต ในขณะที่ฝ่ายค้าน ยิ่งนาน-ยิ่งแตก แตกแค่แย่งบ้าน้ำลายก็พอว่า

แต่แตกด้วยระแวงว่า “ต่างฝ่ายต่างแอบไปคบชู้” แบบนี้ ถึงอยู่กันไป ก็ร้องได้เพลงเดียว คือเพลง
“แต่นี้ไปไม่เหมือนเดิม”!

มันน่าสงสัยมั้ย คิดกันง่ายๆ อนาคตใหม่ถูกยุบ เขาก็รู้กันทั้งโลก “เพื่อไทย-อนาคตใหม่” ถึงคนละแม่ แต่ “พ่อทักษิณ” คนเดียวกัน!

แล้วไฉน เมื่อบ้านแตก แทนที่สส.อนาคตใหม่ จะย้ายไปอยู่บ้านเพื่อไทย แต่ไม่มีเลยซักคน ไปอยู่ “บ้านรัฐบาลหมด”!?



ส่วนที่เหลือ เน็ตๆ เท่าไหร่ ยังไม่รู้
รู้แต่ว่า พวกนี้ NED แน่

ตอนนี้ หลานผดุง “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จำต้องเล่นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เป็นพ่อไก่-แม่ไก่ เป็นปีกปกลูกเจี๊ยบพิลึกๆ ที่เหลือ

ถามว่า…….
ลึกๆ ในใจพวกที่เหลือ “ยอมรับ” หลานผดุงเป็นหัวหน้านำพรรคด้วยศรัทธาจริง ๆ

หรือว่า จำต้อง “จำใจ” เพราะจำต้องอยู่กันไป ในเมื่อพันธุ์พิลึกแบบเขา คงไปอยู่ร่วมกับใครที่ไหนคงยาก?

มีด้ายบางๆ และผุกร่อนเส้นเดียวที่มัดให้จำต้องไปด้วยกันในสภาพจำยอม
คือ “เสี่ยธนาธร” การันตี มีกิน-มีใช้
และเซียนพ่ายสิบทิศ “ปิยบุตร” เป็นกุนซือสุมเมือง!

ไม่ว่ามองทางไหน บอกได้คำเดียว “พรรคใหม่” เกิดเพื่อตาย ก่อนได้ตัดสายสะดือ

เพราะอะไรน่ะหรือ?
ก็ดูซี พรรคยุบไปแล้ว ในเมื่อนายพิธาเล่นบทหัวหน้าจำเป็น แต่ก็ไร้เดียงสาทางการเมือง

รู้ทั้งรู้ ว่าคณะกรรมการบริหาร รวมทั้งธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์ ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว



แต่ถึงขณะนี้ ๓ มะกอก ก็ยังเข้ามาบงการ ควบคุม สั่งการ การทำหน้าที่สส.สัมภเวสีเหมือนเดิม

นายพิธา แค่เจว็จ คนเดินเกม-เดินหมากตัวจริง คือธนาธร-ปิยบุตร
ไม่มีอาชญากรรมใด ที่อาชญากรไม่ทิ้งร่องรอยไว้ ฉันใด ปิยบุตร-ธนาธร ก็ฉันนั้น

ในการอภิปรายที่นำสู่บาดหมาง แตกแยก แหกไส้กันกับเพื่อไทย
ข้อความต่างๆ ที่ทั้งสองโพสต์เฟซ นั่นคือหลักฐานยืนยัน การครอบงำพรรค
ตอนนี้อาจยังไม่เป็นไร เพราะยังไม่มีพรรค

แต่นายพิธาบอกว่า อีกไม่กี่วัน พรรคใหม่ก็จะเรียบร้อย สส.พันธุ์พิลึกจะได้มีสังกัดเป็นเรื่องเป็นราว

ก็เกรงนายพิธาจะ “บกพร่องโดยสุจริต” จึงอยากให้อ่านนี่ ให้รู้ไว้ก่อน

พรป.พรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๖๐
มาตรา ๒๘ ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือกระทำการใด อันทำให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมือง ในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม



ขณะเดียวกัน ก็อยาก….
ความจริง ไม่จำเป็นต้องอยาก เพราะปิยบุตรเขาเป็นดอกเตอร์ทางกฎหมาย แต่เอาเหอะ บอกไว้เผื่ออาจได้บุญ

มาตรา ๒๙ ……..
ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ถ้าใครทำเข้าลักษณะตามมาตรา ๒๙ โทษ คือ
มาตรา ๑๐๘

“ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๙ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น”

นี่…..เห็นมั้ย
ธนาธร-ปิยบุตร หรือใครที่เป็นกก.บห.อนาคตใหม่ ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว จะมายุ่งเกี่ยวอีกไม่ได้



ดังนั้น ขืนนายพิธา “หัวหน้าพรรค” ปล่อยให้ธนาธร-ปิยบุตร เป็นนายใหญ่ “ประทับทรง” แบบที่เป็นอยู่
ก็จะถูกยุบซ้ำ-ยุบซาก

และตัวคนครอบงำพรรค ก็จะคุก+คุก!
ผมถึงว่า ตั้งใหม่ พิธาเท่ากับพระถือสายสิญจน์จูงนำหน้า มินาน มิช้า …….
ลูกพรรคและเล็มน้ำค้างตามใบไม้ ใบหญ้า
ในไม่ช้าก็ตาย!

อยากให้อ่าน “อาจารย์แนวร่วม” นี่นิด รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เขาโพสต์เฟซ ดังนี้

ตั้งแต่ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ แกนนำเพื่อไทยพยายามล็อบบี้ไม่อภิปราย ปว.แต่อนค.ไม่ยอม เลยเอาชื่อไว้ท้าย ๆ
พออภิปรายจริง เพื่อไทยก็อภิปรายลากยาวลำไยล้มมวย เกินเวลาไปมาก จนวันสุดท้าย เวลาอนค.ไม่เหลือ แล้วฝ่ายรบ.ก็เสนอปิดประชุมโดยอ้างว่า หมดเวลา ปล่อยให้ปว.ไม่โดนอภิปรายในสภาไปสบาย ๆ
หัวข้ออภิปรายของเพื่อไทย ฝ่ายรบ.ตอบได้ทุกข้อเป็นฉาก ๆ มีสไลด์เตรียมมาพร้อมเลย (ข้อสอบรั่ว??)
#พญางูเห่าดูไบ #ปาหี่เพื่อไทย #เพื่อไทยนึกว่าปชชโง่ดูไม่ออก #มวยล้มต้มคนดู #อภิปรายไม่ไว้วางใจ
อิๆ….
เสร็จ “พญางูเห่าดูไบ” ในที่สุด!



Written By
More from plew
“สะกดจิต” เจอ “สกัดจุด” – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ…? เปลว สีเงิน หมู่นี้ “แต่ละพรรค” ปราศรัยหาเสียงกันเข้มข้น ถ้าใครอยากรู้……. พรรคไหน “เป็นจำพวกไหน” “เชื่อได้” หรือ “เชื่อไม่ได้”?...
Read More
0 replies on ““พญางูเห่าดูไบ” โผล่ใบ้หวย”