รำพึง-รำพัน “วันโลกเปลี่ยนยุค”

ใครว่านั่งๆ นอนๆ โดยไม่ต้องทำงานสบาย ผมขอเถียง

ก็อาจสบาย……..
แต่สบายจากการไม่ทำงาน เอาแต่รอแจก รอเขาช่วย รอเบียดบังผลประโยชน์สังคม มันทำให้ตัวเองเป็นคนไร้ค่ายังไงไม่รู้
ไม่ต่างขยะพลาสติก

เป็นปุ๋ยก็ไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียว ทำลายโลก และเป็นเสนียดสังคม ประเภทสิ่งมีชีวิต!

ฉะนั้น หลังเสพสุขมาหนึ่งสัปดาห์ วันนี้ ทำงาน-ทำการ สร้างมูลค่าเพิ่มในราคาคนให้ตัวเองซักหน่อย

อยากจะบอกว่า…….
บ้านเมืองไทยเรา สุข-สบาย และสมบูรณ์-พูนสุข “ที่สุดในโลก” เชื่อผมเถอะ
ที่โวยๆ กัน เศรษฐกิจไม่ดี คนไม่มีงานทำ ราคาสินค้าพืชเกษตรตกต่ำ ต่างๆ นานา นั่นน่ะ
ผมไม่เถียง

ในสัปดาห์ว่าง ก็เตร็ดเตร่ไปเรื่อย แต่พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง คนไทย ทำบุญมาด้วยอะไร ถึงได้ร่ำรวยกันขนาดนี้
รถหลากยี่ห้อ หลากราคา เกยก่ายเต็มถนนไปหมด
ทั้งทางด่วน-ทางราบ ทั้งในเมือง นอกเมือง
ไม่ว่าวันหยุด วันราชการ มดยังต้องท้าวสะเอวร้อง ไม่เหลือช่องให้กูลอดบ้างเล้ย!
โผล่ตามห้าง ตามร้านอาหาร ตามปั้มปตท.

โอ้โฮ….
โรงทาน “ยุคพระศรีอริยเมตตรัย” หรืออย่างไรกัน?

คนไทยช้อปออนไลน์ อันดับ ๓ ของโลก อันดับ ๑ อาเซียน คิดหยาบๆ ปีละกว่า ๓ ล้านล้านบาท
น้ำมันตอนนี้ ราคาแค่ลิตรละ ๒๐-๒๗ บาท โอดโอยว่าแพง ในขณะที่ชานมไข่มุก สตาร์บัคส์ แก้วละเป็นร้อย
กระดิกตีนซดกันเฉย!

ร้องกันว่า โรงงานเจ๊ง ตกงาน อันนี้ ผมไม่แน่ใจ ว่าคนไทยวันนี้ ไม่มีงานทำ
หรือไม่อยากทำงาน หรือเกี่ยงงาน หรือหยิบโหย่ง ไม่สู้งานกันแน่?

และอีกอย่าง พัฒนาตัวเองด้วยการเรียนรู้ เพิ่มทักษะฝีมืองานให้สอดคล้องยุคสมัยเศรษฐกิจดิจิทัลกันหรือเปล่า?
โลกมันหมุนไป เราต้องหมุนตาม

มีแต่แรงแบก-แรงหามขาย ชั่วโมงนี้ ยังพอขายได้
แต่เราเป็นคน ไม่ใช่วัว-ควาย ที่จะขายเฉพาะแรงอยู่ร่ำไป ก็ควรไปฝึกฝนวิชาชีพ เพื่อขายฝีมือ ขายมันสมอง
ถ้าจะ “ขายแรง”……
ก็ควรต้องฝึกทักษะ เพื่อ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ในแรงงานของตนด้วย!

เพราะต่อไป จากเศรษฐกิจดิจทัล จะกระโดดไปเป็นเศรษฐกิจบิ๊กเดตา ด้วย IOT (Internet of Things)
งานทุกอย่าง จะเชื่อมโยงสู่โลกอินเทอร์เน็ต
เราจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีค่าเหนือเศษเหล็ก ไปอยู่ในฐานะ “ผู้บังคับบัญชาเศษเหล็ก”
คอยควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าเครื่องจักร เครื่องมือ รถยนต์ หุ่นยนต์ กระทั่ง จะพ่นยา-ฉีดปุ๋ยไร่นา ก็ต้อง IOT ทั้งนั้น

ถ้าถามว่า อายุมากแล้ว ฉันจบแค่ป.๔ เงินก็ไม่มี จะไปเรียน ไปฝึกอาชีพได้ที่ไหน?
ไม่มีปัญหาเลย จะป.๐ ป.๔ หรือจบด็อกเตอร์ หรืออายุ ๖๐-๗๐ ลดอีโก้เปลือกๆ ลงหน่อย แล้วไปเลือกฝึก-เลือกเรียนได้เลย
ไปที่อบต. ไปที่อำเภอ ไปที่โรงเรียน ไปที่จังหวัด ไปที่สหกรณ์ ไปที่หมู่บ้าน

ไม่รู้จะไปไหน ไปถามผู้ใหญ่บ้านได้เลยว่า….
ศูนย์ฝึกอาชีพ ฝึกทักษะ ที่ทางการเขาฝึก-เขาสอนให้ประชาชนฟรีน่ะ อยู่ตรงไหน?
ไปเถอะ อย่าหมกมุ่นอยู่แต่ไมค์ปลดหนี้ หรือไปขายความจนหน้าจอตามรายการโทรทัศน์ลมๆ แล้งๆ อยู่เลย
อายุมาก ก็ฝึกจับ-ฝึกนวดได้ ยุคแอนตี้พลาสติก นั่งเหลาไม้กลัด ตัดใบตองขายแม่ค้า ก็เหลือเฟือ

อยู่ในกรุง ก็…..
อยู่หมู่บ้านไหน ไปกดกริ่งถามตามละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง
“ทำความสะอาด กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างห้องน้ำ ดายหญ้า ตัดต้นไม้มั้ยค๊า?”
ชั่วโมง-สองชั่วโมง ๓๐๐ บาท สบายๆ วันละซัก ๓ หลัง ถูกใจ ติ๊บนิดหน่อย ขี้หมู-ขี้หมา เก็บตกเดือนละ ๓ หมื่น เป็นค่าครีมหน้าขาว-หน้าเด้ง

ผมจึงสงสัย ทำไมคนไทยจึงยอมเสียค่าหัว ค่าเรือบิน ไปเป็นผีน้อย ผีใหญ่ ขายแรงแบบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นบ้าง ไต้หวันบ้าง ให้เขาดูถูก-ดูแคลน?
คำตอบเดียวที่ได้ คือ เขาว่า….
ได้เงินมากกว่าเมืองไทย!

แต่หาคิดมุมกลับไม่ว่า ที่ว่าได้มากนั้น ค่าครองชีพในบ้านเขา มันก็ต้องจ่ายมากกว่าเมืองไทยเป็นสิบเท่า
ได้แพง ก็ต้องจ่ายแพง ห้องเช่าเมืองไทย ๒,๐๐๐ อยู่ได้ อย่างในเกาหลี ต้องเป็นหมื่นๆ ขึ้นไป ถึงจะมีให้ซุกหัว
หักกลบ-ลบหนี้แล้ว นั่งฉาบปูนอยู่เมืองไทยวันละ ๕-๖ชั่วโมง จิ๊บๆ เดือนละ ๓ หมื่นขึ้น
ดีกว่าไปเป็นกรรมกรหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งวันทั้งคืนอยู่เกาหลี ที่ได้เดือนละ ๖-๗ หมื่น

ถามว่า แล้วเหลือมั้ย?บางคนเหลือ บางคนไม่เหลือ เข้าเนื้อ-เข้าคุกด้วยซ้ำ
ที่ไม่เหลือ เป็นที่เข้าใจได้ ถูกหลอก ถูกโกง ถูกรีดค่าหัว ถูกจับ
และอีกอย่าง อยู่นาน..ชำนาญถิ่น วิญญานไทยคืนร่าง ได้มาก ก็สำรวย-สำราญ กิน ดื่ม เที่ยว

งานเมืองไทยเหลือล้น……
ไม่งั้นแรงงานต่างชาติไม่แห่กันมาเป็น “เขมร-พม่ายึดเมือง” อย่างทุกวันนี้หรอก!
มากันปี-สองปี ทองแดงทั้งตัว เพราะไม่เกี่ยงงาน และเที่ยวเพ่นพ่านไม่ได้อย่างว่า

เดี๋ยวนี้ ทั้งที่กฎหมายห้าม แต่เพราะความไม่เอาไหนสบายจนเคยตัวของบางคนไทย เขมร-พม่า จึงยึดหัวตลาด ท้ายตลาด เป็นพ่อค้า-แม่ขาย
อีกไม่เกินสิบปี อาจขยับขยายเป็น “นายห้าง” คนไทยแปรสภาพเป็นลูกจ้างเขมร-พม่าแน่ๆ!

ทำงานเกาหลีเงินมาก-ทำงานในไทยเงินน้อย ตรงนี้ ไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นอยู่ที่คนไทย ควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องให้คนอื่นควบคุม จึงจะรอดและเหลือ
“วินัย” นั่นแหละที่คนไทยขาด!

ที่ไปขายแรงต่างประเทศเงินเหลือ คำตอบง่ายนิดเดียว
๑.ต้องกิน ต้องนอน ต้องทำงาน ตามเวลา ตามระเบียบ
๒.ต้องอยู่ในที่จำกัด ไม่มีอิสระออกไปเที่ยวจับจ่ายใช้เงินสำมะเลเทเมาได้เหมือนอยู่เมืองไทย
๓.ต้องอดทน เกเร เบี้ยวไม่ได้ ต้องเคร่งครัดกฎกติกา และต้องเดินตามนิ้วนายจ้างชี้
๔.ไม่มีความรู้ด้านภาษา ไม่ถนัดการใช้ชีวิตร่วมสังคม เลยกลายเป็นประหยัดเงินไปในตัว และ
๕.ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ เพ่นพ่านไม่ได้ ทั้งตื่นสังคม ทั้งเสี่ยงถูกจับ โอกาสใช้เงินจึงน้อยลงไปอีก

สรุปแล้ว บ้านเรานี่แหละ “ดีที่สุด” มีพร้อมทุกอย่าง
ขาดอย่างเดียว……
“ดวงตาเห็นความดีงามของบ้านเมืองตัวเอง”!

ถ้าเรามีวินัย “ใช้ชีวิต-ใช้เงิน” เหมือนตอนเป็นคนงานเคร่งกฎอยู่นอกประเทศ
เงินก็จะเหลือ แถมสุขใจอยู่กับครอบครัว อยู่ในบ้าน-ในเมืองตัวเองอย่างมีเกียรติ ไม่ต้องหลบซ่อนเป็นผีน้อย-ผีใหญ่
พูดกันตรงๆ…..
ค่าครองชีพบ้านเรา “ถูกมาก” เทียบกับทุกประเทศในโลกบ้านเรามีทุกอย่างที่บ้านเขามี และที่บ้านเขาไม่มี แต่บ้านเรามี เช่น ชั่วโมงที่ ๒๕ ในโลกเสรีประชาธิปไตย

ปี ๒๕๖๒ คนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเฉียด ๑๑ ล้านคน
ใครเป็นญาติพี่น้อง-เพื่อนฝูง ไปถามคนที่เคยไปดูได้เลย
ว่า เป็นไง….?ไปเที่ยวบ้านเขา ค่าครองชีพ ค่าที่พัก ค้าอาหารการกิน ความสดวกสบาย ความอิสระที่จะไปไหน-มาไหน สถานที่ท่องเที่ยว ราคาสินค้า ความเป็นมิตรกับผู้คน
เทียบกับบ้านเรา เขากินเราขาด หรือเรากินเขาขาด?
ผมเชื่อ ร้อยละ ๙๙.๙๙ จะบอก “เรากินเขาขาด”

ไปสัมผัสชีวิตเมืองนอกแล้ว รักบ้านเมืองไทยเราสุดหัวใจ
ไปแล้ว เห็นแล้ว ก็ นับวัน-นับคืน ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้านเราซะที!
ส่วนเรื่องราคาพืชผลทางเกษตร และสินค้าส่งออก ก็แน่นอน การค้าโลก อย่าโทษสงครามเศรษฐกิจ “จีน-สหรัฐ” เลย
มันเป็นไปตามวัฏฏะน่ะ….

ขนาดธรรมชาติยังมีฤดู หนาว-ร้อน-ใบไม้ร่วง-ใบไม่ผลิ มนุษย์หนุ่ม-สาววันนี้ อีกไม่กี่วัน ก็ยังต้องสู่วัยโรยสู่ชรา ล่วงหล่น ไปตั้งต้นถือกำเนิดเป็นหน่อใหม่
นับประสาอะไรกับ “เศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง” อันเป็นผลผลิตพฤติกรรมบริโภคมนุษย์จะไม่หมุนไปตามวงจรวัฏฏะ

ตอนดี-ถูกใจ ก็เฉย อุบรวยเงียบ
พอไม่ดี-ไม่ถูกใจ ก็ร้องว่าจนกระจาย โวยวาย ด่ากันสนั่นเมือง!
นี่แหละมนุษย์ โทษทุกอย่าง ยกเว้นตัวเอง

ก็อยากบอกว่า ในขณะที่เราโวยกัน นั่นถือว่ายังโชคดี ที่มีเสียงให้โวย
ที่บ้านอื่น-เมืองอื่น เขาเงียบนั้น ใช่ว่าดีกว่าเรา หากแต่พวกเขา หมด…ไม่มีแม้กระทั่งเสียงจะร้องตะหาก!

เศรษฐกิจก็เหมือนชิงช้าสวรรค์งานวัด……….
จากจุดต่ำสุด เปลี่ยนถ่ายคนขึ้น-ลงแล้ว ก็จะค่อยๆ หมุนขึ้น..หมุนขึ้น จนสู่จุดสูงสุดให้ชมวิวพาโนรามากันแล้ว ก็จะค่อยๆ หมุนลง..หมุนลง สู่จุดต่ำสุด

และนี่ก็สุดแล้ว สู่ช่วงรอ “ถ่ายคนขึ้น-คนลง”
จากปีหน้า ๖๓-๖๔ ชิงช้าเศรษฐกิจโลกก็จะค่อยๆ หมุนขึ้น..หมุนขึ้น
ฉะนั้น อย่านอนอ้าปากรอน้ำค้าง

เมื่อรู้รอบการเปลี่ยนยุคสมัยของเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง ก็จงกระวีกระวาด หาทางปรับตัว ปรับทัศนคติ ปรับเข็มทิศชีวิต รับการหมุนขึ้นของชิงช้าสวรรค์รอบใหม่เถอะ
ผมก็หมุนเหมือนกัน………
หมุนหาที่ฝัง สู่ฝั่งวัฏฏะรอบใหม่!

Written By
More from plew
ประชาชน “ผู้ต่ำต้อย” ในปฐพี
ครับ…….. เรื่องถวายสัตย์ปฏิญานของนายกฯ ผมก็มีความเห็นแบบ “ลุยป่าหาหน่อไม้” อยู่หลายวัน กระทั่งเมื่อวาน (๒๘ สค.๖๒) “นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์” ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ท่านให้ความเห็นทางวิชาการ...
Read More
0 replies on “รำพึง-รำพัน “วันโลกเปลี่ยนยุค””