ผักกาดหอม
มีข่าวแว่วๆ ว่าเร็วๆ นี้ จะมีการปรับ ครม.
ตำแหน่งที่ปรับคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องเอาตัวจริงมานั่ง ไม่ใช่ให้นายกฯ ควบ
ลือกันให้แซ่ดนี่ไม่ใช่ไอเดียของ “เศรษฐา ทวีสิน” แต่เป็นคนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล
ก็มีเค้าความจริงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ “เศรษฐา ทวีสิน” คือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
แต่ความเป็นจริงทางการเมืองนั้น แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“เศรษฐา ทวีสิน” ไม่ได้เป็น สส.พรรคเพื่อไทย
ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยหนุนหลัง
เพราะ สส.ทั้งหมดอยู่ในมือตระกูลชินวัตร
“เศรษฐา ทวีสิน” แทบไม่รู้จัก สส.พรรคเพื่อไทยเลย เพิ่งเข้ามาเล่นการเมืองไม่กี่วัน ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ฉากทัศน์คุ้นๆ นี้เกิดขึ้นในยุค “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ตอกย้ำการเป็นหุ่นเชิดของเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง
รัฐบาลเศรษฐากำลังประสบความยุ่งยากในการเข็นนโยบาย แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพราะวิธีที่ใช้เต็มไปด้วยความเสี่ยง ที่อาจถูกนำมาเล่นงานรัฐบาลในภายหลังได้
โดยเฉพาะข้อกฎหมาย!
และสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ เศรษฐกิจประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต
หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพลาด ก็เท่ากับนายกฯ พลาด
ในทางการเมืองบางช่วงเวลาการรักษาหุ่นเชิดถือว่ามีความจำเป็น และเช่นกันบางช่วงเวลาก็จำเป็นต้องเลิกใช้งานหุ่นเชิด
“ทักษิณ” ยังต้องใช้ “เศรษฐา” ไปอีกระยะหนึ่ง ทางออกก็คือการเอา “เศรษฐา” ออกมาจากกระทรวงการคลัง เพื่อการบริหารจัดการที่ง่ายขึ้น
โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหากจะทำจริงๆ ต้องปรับอีกมาก และการปรับให้ดูเนียนที่สุดคือให้ รัฐมนตรีคลังคนใหม่รับไปดำเนินการ
อย่างที่บอก นโยบายนี้เดินหน้าลำบาก ขืนไปทื่อๆ โอกาสติดคุกเพราะทำผิดกฎหมายก็มีอยู่เหมือนกัน
วานนี้ (๖ มีนาคม) “เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลก (World Bank) ประจำประเทศไทย ตอกย้ำถึงปัญหาของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอีกครั้่ง
“…โครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นมองว่า จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ช่วงสั้นราว ๑% ของจีดีพี แต่จะเป็นภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้นถึง ๓% ของจีดีพี
เป็นโครงการกระตุ้นที่กว้างเกินไป คือการแจกเงินให้ทุกคน จึงอาจจะไม่สามารถกระตุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ…”
และยังบอกว่า
“…อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในขณะนี้ ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน และถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง…”
“…ประเทศไทยเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง (Disinflation) แต่เกิดขึ้นชั่วคราว และไม่ใช่ภาวะเงินฝืด…”
ทั้งหมดนี้ไปคนละทางกับความเห็นของนายกฯเศรษฐา
ระดับเวิลด์แบงก์พูด หากนายกฯ ยังสวนว่าไม่ใช่ก็เตรียมตัวครับ
นี่คือการยืนยันว่าเศรษฐกิจประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในวิกฤต ไม่เข้าข่ายที่รัฐบาลจะต้องออกพระราชบัญญัติกู้เงิน
กลับกันนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเม็ดเงินมหาศาลกว่า ๕ แสนล้านบาทนั้น คือการนำเศรษฐกิจประเทศไปสู่วิกฤตได้
ฉะนั้นหมากการเมืองหลังจากนี้ เปลี่ยนรัฐมนตรีคลังเสร็จ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีแจกเงิน อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทักษิณ” คิดไว้หมดแล้ว เพราะต้องการถืออำนาจไว้ให้ยาวนานที่สุด
รอจนกว่าจะถึงเวลาของ “อุ๊งอิ๊ง”
มอง “ทักษิณ” แล้วเห็น “ฮุน เซน” ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ข่าวทางฟากฝั่งกัมพูชา เขาพูดถึงตระกูลการเมืองที่ยึดอำนาจประเทศไว้เบ็ดเสร็จเหมือนกัน
ข่าวบอกว่า “ฮุน เซน” ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน หลังปกครองกัมพูชาด้วยความเด็ดขาดมาเกือบ ๔๐ ปี และมอบอำนาจต่อให้ “ฮุน มาเนต” ผ่านชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งระดับชาติที่จัดขึ้นโดยไม่มีพรรคฝ่ายค้านร่วมแข่งขัน
แม้ประกาศวางมือจากการปกครอง แต่ “ฮุน เซน” แสดงออกเสมอว่าจะยังคงอยู่ในการเมืองกัมพูชาต่อไป
คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติ (NEC) ประกาศว่า พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) คว้าที่นั่งได้ ๕๕ ที่นั่ง รวมทั้งตัว “ฮุน เซน” ด้วย จากทั้งหมด ๕๘ ที่นั่งในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่อเดือนที่แล้ว
อีก ๓ ที่นั่งเป็นของพรรคเขมรวิลล์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านกลุ่มเล็ก
พรรคประชาชนกัมพูชาระบุว่า พวกเขาจะเสนอชื่อ “ฮุน เซน” เป็นประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่จะทำหน้าที่ประมุขของประเทศในยามที่กษัตริย์เสด็จต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม จำนวนวุฒิสมาชิกในวุฒิสภามีทั้งหมด ๖๒ คน โดย ๕๘ คนมาจากการลงคะแนนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๑๒๕ คน และผู้บริหารท้องถิ่นมากกว่า ๑๑,๐๐๐ คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของพรรคประชาชนกัมพูชา ของ “ฮุน เซน”
ที่เหลืออีก ๒ คน มาจากการแต่งตั้งของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี และอีก ๒ คน มาจากการแต่งตั้งของรัฐสภา
เดือนที่แล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่งลงมติแต่งตั้ง “ฮุน มณี” ลูกชายคนสุดท้องของฮุน เซน ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ “ฮุน มาเนต”
ขณะนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบันมีเครือญาติของ “ฮุน เซน” อยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับลูกๆ หลายคนของพันธมิตรของเขาก็มีตำแหน่งบริหารระดับสูงเช่นกัน
“สก อายสาน” โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชา ปฏิเสธกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ระบุว่า ครอบครัวของ ฮุน เซน กำลังครอบงำประเทศ และชี้ว่าความคิดแบบนั้นมาจากกลุ่มบุคคลที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
หลังจากขึ้นสู่อำนาจในปี ๒๕๒๘ “ฮุน เซน” ได้ฟื้นฟูประเทศจากสภาพพังทลายเพราะสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ให้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเติบโตได้
แต่นักวิจารณ์กล่าวว่า การปกครองประเทศของเขามีจุดบอดเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อม การติดสินบนทั่วทุกวงการ และการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองเกือบทั้งหมด
ครับ…การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการได้มาซึ่งตัวแทน
ขณะเดียวกันนักการเมืองใช้การเลือกตั้งเพื่อแสวงอำนาจ
ประเด็นนี้ไทยกับกัมพูชา ไม่แตกต่างกันมากนัก
ต่างปกครองด้วยหุ่นเชิด
