วิสัยทัศน์ “อินทรี-อีแร้ง” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

“นกอินทรี”
ขึ้่นชื่อว่าที่สุดของ “ที่สุดในโลก” ประเภทสกุลนก
แข็งแรงสุด สง่า-ทรนงสุด อายุยืนสุด บินสูงสุด มองไกลสุด สายตาคมสุด โฉบแม่นสุด อยู่สูงสุด
จะสยายกรงเล็บ ต่อเมื่อเห็นเหยื่อ
โฉบครั้งใด เป็นต้องไม่พลาด!
“นายกฯประยุทธ์” นาทีนี้ ดูแต่ละช็อตของการย่างก้าว จะเห็นว่า บินสูง มองไกล โฉบแม่น ไม่ต่างนกอินทรี

ก็ดูซี…
ขณะที่พวกกระจิบ-กระจอก บินเรี่ยดิน เขี่ย-จิก หาหนอนกิน ตามดิน ตามยอดหญ้า ยาไส้ไปมื้อๆ

๓ ป.แตกกันแล้วบ้าง พรรคแตกแล้วบ้าง ไปต่อไม่ไหวต้องยุบสภาแล้วบ้าง ลงสมัย ๒ ไม่ได้แล้ว เพราะเกิน ๘ ปีแล้วบ้าง

แต่อินทรียังคงเหินหาว ระดับความสูง ๒,๐๐๐ เมตรจากพื้นแบบชิลๆ ด้วยความเร็วของแรงปีก ระดับ ๕๐-๘๐ กม./ชม.!

อีแร้ง “หัวหน้ากระจิบ-กระจอก” ทนซ่อนตัวรอศพไม่ไหว ต้องโผล่ออกมาประคองปีกแทนมือไหว้ปะหลกๆ กลางคลับเห่า

ขอเถอะ..พอเถอะ …
ให้กระจิบ-กระจอก อย่างลูกเขยหรือน้องเขยกูเป็นบ้าง อดอยากปากแแห้งมา ๗ ปีแล้ว ถ้าต่ออีก ๕ ปี กระทั่ง กู…อีแร้ง ก็แห้งตายด้วยแหง!

ก็จะเห็นความแตกต่างในความเป็นสกุลนกด้วยกัน ในขณะที่อีแร้ง กระจิบ-กระจอก บินเตี้ย หากินต่ำ หวังแค่คว่ำเขาไปแต่ละวัน

แล้วดูทัศนวิสัยการบิน การมอง การโฉบของอินทรีเขาซี สะท้อนชัด จากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เมื่อวาน

“ประยุทธ์ย้ำไม่ยุบสภา
ขอโฟกัสเจ้าภาพจัดเอเปก ปี ๖๕!”

มันคืออะไร?
ก็คือพวกการเมืองกระจิบ-กระจอก จะมองแค่คืบ-แค่ความยาวจงอยปาก เอาแต่ที่ใกล้ๆ จิก-เขี่ย เรี่ยดิน กระเด้าลม หาหนอน-มาแมลงกินไปวันๆ

ตามประสาสัตว์ปีกสั้น….
คิดได้เท่านั้น บินได้เตี้ยๆ ระดับนั้น ทัศนวิสัยการมองสูงสุด ก็ระดับพุ่มไม้ สู่ยอดหญ้า

ที่จะให้บินสูงเหินจากยอดผา มองไกลถึงท้องมหาสมุทร หรือกลางดงพญาเย็น แล้วโฉบเหยื่องามสง่า ดุจพญาอินทรี จึงไม่มี-ไม่ถึง!

ประยุทธ์เขามองไกลไปถึงไทยเราเป็นเจ้าภาพงานการประชุมเอเปกโน่นแล้ว
มันเป็นหน้าตา บ่งบอกศักยภาพและศักดิ์ศรีประเทศ ผู้นำโลก ๒๑ ประเทศ ทั้งสหรัฐ-จีน-รัสเซีย จะมา amazing Thailand กรายๆ ในบ้านเรา

ซึ่งงานระดับนี้ ในฐานะไทยเจ้าภาพ
ไม่ใช่แค่รัฐบาล แค่ประยุทธ์ แต่หมายถึงทุกองคาพยพประเทศ ร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยกันทุกคน ตั้งแต่ทำเนียบ ยันตุ๊กๆในถนน

มันต้องคิดกันเป็นปี เตรียมงานกันเป็นปี คือต้องคิดกัน-หารือกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะการประชุมแต่ละระดับ จะเริ่มแต่ปลายปีนี้ ไปจนถึงพย.๖๕

นกอินทรี มองข้ามช็อต จากจิกตีกันเพื่อประโยชน์ตัว ไปเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและส่วนรวมในความเป็นชาติทุกภาคส่วนไปโน่นแล้ว

แต่อีแร้ง กระจิบ-กระจอก ยังหน้าจมดิน จิ๊บๆ จั๊บๆ จิกหนอน มึงออกไปให้พวกกูเป็นมั่งอยู่นั่นแหละ ช่างน่าทุเรศ!

นี่ผมก็ลืมไป ว่าเดือนตุลา.เขาจะรำลึกอดีต ๖ ตุลา.และ ๑๔ ตุลา.กัน

การรำลึกอดีตเป็นเรื่องควร ถ้ารำลึกทบทวนเพื่อหลีกเลี่ยงด้านผิดพลาด-สร้างเสริมด้านถูกต้อง รำลึกนั้นจะเป็นคุณ

แต่ที่เป็นทุกวันนี้ ………

คนในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ “ตกผลึก” แล้ว มีบางส่วนหยิบฉวยบางช่วงเหตุการณ์เป็นเชื้อแค้น หลอกใช้เด็กทำโง่ๆแทน อย่างที่เห็น

ก็ปล่อยให้มันเล่นไฟด้วยตัวมันเอง จะได้รู้ว่าความร้อน นอกจากหลอมเหล็กแล้ว ยัง “หลอมเขา” ให้นักศึกษาได้ด้วย!
คิดแทนไม่เกิดประโยชน์…….

อยากให้อ่านนี่ ที่คุณ Withawatt Cozy Tansuhaj โพสต์ อ่านแล้วจะได้คิด ถ้าคิดได้ จะประโยชน์ยิ่ง
……………………

Withawatt Cozy Tansuhaj
ถ้าใครดูหนังเรือง 14 ตุลา สงครามประชาชน จะเห็นซีนหนึ่งที่ ตัวละครของ อ.เสกสรรค์ เดินไปพบแกนนำพรรค พคท. ในวันที่ 6 ตุลา แล้วพบว่า กำลังร้องให้คร่ำครวญกันใหญ่

ไม่ได้ร้องให้เพราะนักศึกษาไทยถูกรุมฆ่านะครับ
แต่พวกเขาคร่ำครวญถึง “เจียง ชิง”

10 ปีก่อนหน้าประเทศจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นาง เจียง ชิง (ภรรยาประธานเหมาเจอตุง) และพรรคพวกของเธอ (ในนามแก๊งค์ออฟโฟร์)

ใช้อำนาจนอกรัฐบาล ประกาศการปฎิวัติวัฒนธรรม ว่าด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรมศักดินาที่ยังนับถือกันอยู่ โดยเรียกรวมว่า
“การทำลายสิ่งเก่า 4 อย่าง” ได้แก่ นิสัยเก่า, ความคิดเก่า, ประเพณีเก่า, และวัฒนธรรมเก่า

มีการปลุกระดมและจัดตั้งพวกวัยรุ่นเป็นเยาวชน “ผู้พิทักษ์สีแดง(Red Guards)”

ครูสอนประวัติศาสตร์ ครูสอนงิ้ว ดนตรีจีน นักสะสมหนังสือ พระ ถูกนำมาประจาน บางคนถึงกับถูกกระทืบจนตาย
ไม่ใช่แม้แต่ “คนเป็น”

แม้แต่บรรดาฮวงซุ้ยสวยๆ ก็ถูกขุดเอาศพขึ้นมาเฆี่ยนประจานและยึดทรัพย์สินในนั้น วัดและโบราณสถานถูกทุบทิ้ง

และไม่ใช่แค่ประชาชนสามัญ ทั้งนี้ รวมไปถึง “หลิว เส้า ฉี” (ปธน.คนแรกของจีน) และครอบครัว ถูกเรด การ์ด ทรมานจนตาย

“เติ้ง เสี่ยว ผิง” ถูกเนรเทศไปชนบท ลูกชายคนโตของเติ้ง กระโดดตึกจะฆ่าตัวตาย (บางกระแสบอก โดนพวกเรดการ์ดจับโยนลงมา) พิการตลอดชีวิต

“เถียน เจีย อิง” (เลขาพรรคฯ) ก็ฆ่าตัวตาย

“เถิ้ง ตั้ว” บรรณาธิการคนแรกของหนังสือพิมพ์ People’s Daily ก็ฆ่าตัวตาย

ว่ากันว่า มีราวๆ 6 แสนชีวิต ที่ต้องเสียไป เพื่อลบล้าง “สี่เก่า” ของ เจียงชิง

10 ปี คือช่วง ปี 2509-2519 ที่เจียง ชิง และ Gang of Four เรืองอำนาจ มีอิทธิพลต่อ “ซ้ายไทย” มาก

เห็นได้ชัดว่า แยกขาวจัด-ดำจัดชัดเจน ผมอ่านหนังสืออีกหลายเล่ม ที่ว่ากันว่า นิยมมากในยุคนั้น งานเขียนมีทัศนคติในทาง “เจียง ชิง” และ “จาง ซุง เฉียว” ไม่น้อย

ที่ประเทศจีน 6 ตุลาคม 2519 หลังประธานเหมาเสียชีวิต 1 เดือน
“เย่ เจี้ยน อิง” นายพลชราวัย 79 เป็นผู้นำร่วมมือกับ “หวาง ตง เซิง” กรรมการพรรคและ “เติ้งเสี่ยวผิง”

เที่ยงคืนวันนั้น ทหารทุกกรมกองถูกเรียกระดมพล พร้อมประกาศจับ “เจียง ชิง” ข้อหาทรยศพรรค (ซึ่งเธอก็เตรียมจะใช้พวกเรดการ์ดยึดอำนาจจริงๆ โดยเตรียมกำลังยุวชนไว้แล้ว 5 แสนคน)

ระบุกันว่า ทหารทุกหมู่เหล่า พอทราบเรื่องการกวาดล้างเจียงชิงและยุวชนแดง พากันพร้อมใจปรบมือยาวนานถึง 2 นาที

“เจียง ชิง” ถูกตัดสินประหารชีวิต ลดเหลือลงโทษจำคุกตลอดชีวิต สุดท้ายกลับฆ่าตัวตายในคุก

แล้วก็ไม่รู้ว่าดวงมันลงวันนี้หรือเปล่า เพราะที่ไทย 6 ตุลา 2519 ซ้ายไทยในเมืองก็ถูกกวาดเรียบเหมือนกัน คือมันน่าเศร้า

แต่กว่าจะเดินมาถึงวันนี้ มันก็เหมือนรถไฟวิ่งเข้าหากันในรางเดียวกันมาระยะหนึ่งแล้ว

42 ปี 6 ตุลา ที่ประเทศจีน เขาสรุปข้อบกพร่องไปชัดเจนว่าแนวคิดซ้ายจัด ต่อต้านสถาบันเก่าๆ ทุกรูปแบบ เป็นแนวคิดที่เหลวไหล ล้าหลัง กระทั่งอันตรายต่อประเทศชาติ

ถ้าวันที่ 6 ตุลา เมื่อ 42 ปีก่อน เติ้งและพรรคพวกไม่ยึดอำนาจและกวาดล้างเจียง ชิง
ประเทศจีนนี้จะเป็นอย่างไร ก็ยากที่จะคาดเดา

แต่ที่เห็นกันคือ “เติ้ง เสี่ยว ผิง” กลับคืนสู่อำนาจและประกาศล้มเลิกแนวคิดปฎิวัติวัฒนธรรม (ในขณะเดียวกัน พคท.ก็เริ่มขาดการสนับสนุนลงไปเรื่อยๆ จนล่มสลาย)

เติ้งประกาศแนวคิด 4 ทันสมัย
อันได้แก่ พัฒนาเกษตรกรรม, อุตสาหกรรม, วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

“แมวสีอะไรก็ช่างมัน จับหนูให้ได้ก็แล้วกัน” เติ้งบอกไว้ และผลของมันก็ขอให้ดูประเทศจีนตอนนี้

แต่ที่ไทย ช่างเหลือเชื่อว่าสโลแกน “การทำลายสิ่งเก่า 4 อย่าง” ได้แก่ นิสัยเก่า, ความคิดเก่า, ประเพณีเก่า, และวัฒนธรรมเก่า ของเจียง ชิง เมื่อ 50 ปีก่อน

ทุกวันนี้ บางพรรคหรือบางคน ก็ยังเอามาหาเสียงได้ในประเทศไทย
แล้วที่เหลือเชือกว่าก็คือ ยังมีคนบูชาว่า นี่เป็นความคิดใหม่เอี่ยม ทันสมัย อนาคตใหม่สุดๆ

42 ปี 6 ตุลา ที่ประเทศไทย สำหรับผม น่าจะเป็นวาระการสรุปข้อบกพร่องของทุกฝ่าย มากกว่าที่จะเชิดชูแนวคิดของตัวเอง และชี้นิ้วก่นด่าบุคคลอื่นอยู่ร่ำไป

และไม่ใช่คิดจะใช้วันนี้มาหาเสียงแต่เพียงอย่างเดียว ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปไหนกันต่อ ทุกวันนี้ก็ช้ากว่าจีนไป 50 ปีแล้ว
ปล.เขียนบันทึกเรื่องนี้ใน Blog เมื่อปี 2555 เอามาแก้หน่อยและบันทึกไว้ในนี้ครับ
………………

ไงครับ พอทำให้ เรด การ์ด ไทย คิดอะไรกันได้บ้างมั้ย?
ถ้าได้ ช่วยไป “โปรดสัตว์” ที่ชื่อ “โทนาฟ” ด้วย



Written By
More from plew
แอมเนสตี้-หน้ากากทูต-เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน แอมเนสตี้คือใคร? คือคนกลุ่มหนึ่งประเภทตั้งตนเป็น “ขาใหญ่” มีเครือข่ายกระจายไปหลายประเทศในโลก สถาปนาเป็น “ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน” “นักบุญเผือก” ภาคเอกชน ทำนองเดียวกับ NGO
Read More
0 replies on “วิสัยทัศน์ “อินทรี-อีแร้ง” – เปลว สีเงิน”