โรคเบาหวาน ภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัว

“เบาหวาน” เป็นโรคที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ คนที่ป่วยเป็นเบาหวานแล้วก็มีทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ ศูนย์อายุรกรรม (Internal Medicine Center) โรงพยาบาลนวเวช ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับโรคเบาหวาน พร้อมแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเป็นเบาหวานหรือชะลอการเกิดโรคด้วยแนวทางการปฏิบัติที่ไม่ยาก

เราอาจจะทราบดีว่า 1 ใน 11 ของคนบนโลกนี้ หรือ 463 ล้านคน เป็นโรคเบาหวาน แต่อาจจะมีมากกว่าครึ่งที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคเบาหวาน และยังมีคนที่อยู่ในภาวะก่อนโรคเบาหวานอีกจำนวนมาก ซึ่งคาดการณ์ว่าในอีก 25 ปีข้างหน้าจะมีคนเป็นโรคเบาหวานถึง 700 ล้านคน

อาการ รู้หรือไม่ว่าคนจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าเป็น “เบาหวาน” เพราะอาจจะไม่มีอาการของโรคที่ชัดเจน แต่เป็นอาการของโรคแทรกซ้อน ที่เกิดทั้งแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคนที่เป็นโรคเบาหวานมักมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย
  • หิวบ่อย น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
  • แผลหายยาก
  • ผิวหนังแห้ง คันตามผิวหนัง ติดเชื้อราง่าย
  • เป็นฝีตามตัว
  • สายตาผิดปกติ มีอาการตาพร่า
  • ชาปลายมือปลายเท้า หรือมีอาการของโรคเส้นประสาทเสื่อม
  • ปวดขา ปวดเข่าบ่อย ๆ
  • อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย

หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด เพื่อการรักษาและดูแลตนเองอย่างถูกวิธี

สาเหตุของโรค เบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อันเนื่องมาจากการทำงานของอินซูลินบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างเต็มที่ จึงมีน้ำตาลสะสมอยู่ในเลือดเป็นปริมาณมาก

ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อมสภาพ และเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักคิดว่า คนที่มีญาติเป็นโรคเบาหวานและคนที่มีน้ำหนักตัวเกินเท่านั้นที่เป็นเบาหวาน แต่ความจริงทุกคนมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้ โดยสามารถแบ่งตามชนิดได้ดังนี้

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีความเกี่ยวเนื่องกับระบบภูมิคุ้มกัน และเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อนทำงานผิดปกติ มักเกิดในเด็กและวัยรุ่น พบประมาณร้อยละ 5-10 ของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีสาเหตุจากพันธุกรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน พบมากในผู้ที่น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ปกติ ผู้ที่อายุมากกว่า 45 ปี ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง โคเลสเตอรอลสูง หรือไตรกลีเซอไรด์สูง ผู้ที่มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน ละตินอเมริกา อะลาสกา หมู่เกาะแปซิฟิก อเมริกันเอเชีย ผู้ที่มีปัญหาทางกายภาพ และผู้ที่มีภาวะก่อนการเป็นโรคเบาหวาน พบประมาณร้อยละ 95 ของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากร่างกายมีการสร้างฮอร์โมนจากรกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการทำงานของอินซูลิน มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน อายุมากกว่า 25 ปี เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เคยให้กำเนิดบุตรที่น้ำหนักมากกว่า 4 กิโลกรัม มีคนในครอบครัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีอาการของโรคถุงน้ำรังไข่ (PCOS) ซึ่งหลังจากคลอดบุตรแล้ว คุณแม่ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40

แนวทางรักษา การรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพจะต้องเป็น “แผนการรักษาเบาหวานแบบองค์รวม” กล่าวคือ การดูแลโรคเบาหวานไปพร้อมกันกับโรคร่วม ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย สังคมของผู้ป่วย (ญาติ เพื่อน ที่ทำงาน สิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ วิถีชีวิต ความเครียด)

ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการตระเตรียมทีมแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้งแพทย์และพยาบาลที่ดูแลรักษาโรคเบาหวานและผู้ชำนาญการสาขาอื่น ๆ ซึ่งเป็นโรคร่วมที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น จักษุแพทย์ แพทย์โรคหัวใจ แพทย์โรคประสาทสมอง แพทย์โรคไต ทันตแพทย์ นักโภชนาการ เภสัชกร นักกายภาพผู้ชำนาญการเท้า

นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะต้องดูแลปฏิบัติตนตามที่ทีมแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยโรคเบาหวานแต่ละชนิดจะมีวิธีรักษาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ต้องใช้อินซูลินซึ่งเป็นยาฉีดเท่านั้น เพื่อทดแทนอินซูลินที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ใช้การควบคุมอาหารการออกกำลังกายและการใช้ยา เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินเกณฑ์ปกติ โดยปัจจุบันมีการวิจัยและค้นคว้ายาเบาหวานใหม่ ๆ จำนวนมาก ทั้งยารับประทานและยาฉีดที่ไม่ใช่อินซูลิน ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นน้อยมาก ช่วยลดน้ำหนัก และเกิดผลดีต่อหัวใจด้วย ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาเบาหวานดีมากขึ้น และเกิดผลข้างเคียงน้อยลง

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ใช้การปรับอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

การดูแล การควบคุมอาหารหรือโภชนบำบัด และการออกกำลังกายเป็นประจำเป็นการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันที่ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน “คาร์โบไฮเดรต” หรืออาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล เป็นอาหารที่ควรจำกัดการรับประทานในแต่ละวัน เนื่องจากจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ผัก ผลไม้ชนิดที่ไม่หวานหรือมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ธัญพืช โปรตีนจากปลาและสัตว์ปีก ไขมันชนิดดี เช่น น้ำมันมะกอก

ป้องกันอย่างไร โรคเบาหวานสามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคแป้งและน้ำตาล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามการตรวจสุขภาพ และตรวจโรคเบาหวานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความรุนแรงของโรค เพราะยิ่งเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้เร็ว การดูแลรักษาย่อมได้ประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนและใช้เงินในการรักษาต่ำกว่า

สรุป โรคเบาหวาน แม้ว่าในทางการแพทย์การรักษาให้หายขาด 100 เปอร์เซ็นต์สามารถทำได้ยาก แต่การดูแลตนเองโดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น สามารถลดโรคแทรกซ้อน และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุขได้เช่นกัน

โรงพยาบาลนวเวช มุ่งมั่นให้บริการทางการแพทย์ที่ดีมีคุณภาพและเข้าถึงง่าย Accessible Quality Healthcare พร้อมดูแลสุขภาพของทุกคนอย่างเข้าอกเข้าใจ ด้วยบริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย และทีมแพทย์เฉพาะทาง หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดและขอรับคำปรึกษาได้ที่ ศูนย์อายุรกรรม (Internal Medicine Center) โรงพยาบาลนวเวช โทร. 0-2483-9999 หรือ www.navavej.com

Written By
More from pp
กรรมาธิการวุฒิสภาลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังชาวบ้านร้องเจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบแจ้งข้อหาบุกรุกที่ป่า
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.63 พลเรือเอก ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องทุจริตวุฒิสภา ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเขตทรงสงวนกองทัพเรือ
Read More
0 replies on “โรคเบาหวาน ภัยเงียบที่คุณอาจไม่รู้ตัว”